12 สิงหาคม 2567 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระดำรัสถวายพระพรแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗ ความว่า
“ศุภมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ ขอตั้งกัลยาณจิตถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมุ่งมั่นบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรมาเนิ่นนานกว่า ๗ ทศวรรษ
ทรงถึงพร้อมด้วยพระราชจริยวัตรอันสอดคล้องต้องด้วยธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ “ทาน” ซึ่งหมายถึง การให้ การแบ่งปัน การเสียสละ และการเอื้อเฟื้อ อันเป็นคุณธรรมสำคัญแห่งพุทธาทิบัณฑิตทั้งหลายมานับแต่โบราณกาล แม้สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ก็ทรงสั่งสมพระทานบารมีมาแล้วนับอเนกอนันตชาติ อันว่าการให้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น จำแนกได้เป็นหลายสถาน
กล่าวคือ “อามิสทาน” การให้วัตถุสิ่งของ “ธรรมทาน” การสั่งสอนอบรมคุณธรรมเพื่อนำออกจากทุกข์ การให้กำลังใจ และการให้วิชาความรู้ “อภัยทาน” การให้ชีวิต การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ทุเลาทุกข์ภัย การยกโทษให้ผู้คิดร้าย พูดร้าย หรือทำร้าย โดยไม่พยาบาทอาฆาตจองเวร ครั้นพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของสมเด็จบรมบพิตร ย่อมเห็นประจักษ์ได้ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญทานทุกชนิดอย่างสม่ำเสมอ สมด้วยพระราชสมัญญา “แม่ของแผ่นดิน” ผู้พร้อมเสียสละให้ทั้งอามิสทาน ธรรมทาน และอภัยทานแก่สรรพชีวิต ซึ่งทรงเพ่งพินิจว่าล้วนเป็น “ลูก” ของพระองค์ โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ทั้งนี้ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ขอปวงประชานิกร จงสโมสรสมานฉันท์ พร้อมเพรียงกันบูชาพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการให้ปันแก่กันและกันอย่างจริงใจ เพื่อความผาสุกของลูกหลานไทยจักบังเกิดขึ้นได้ สมดังพระราชหฤทัยปรารถนา...๐
พรรคประชาชนยังต้องเจอวิบากกรรม ตั้งแต่ก้าวแรก "หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม" หัวหน้าพรรคไทยภักดี ตามจิกไม่ปล่อย โพสต์ข้อความในสื่อโซเชียลว่า ตามที่สื่อเสนอข่าวว่า พรรคประชาชนเกิดจาก การที่นำพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มาเปลี่ยนชื่อพรรค เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นสถาบันสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ จากการตรวจสอบผ่านเว็บ กกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคต้นกำเนิดของพรรคประชาชน มีสาขาพรรค 3 สาขา ภาคเหนือ 2 สาขา และภาคกลาง 1 สาขา ไม่มีสาขาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กฎหมายพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพ ถ้ามีสาขาพรรคการเมืองเหลือไม่ถึงภาคละ 1 สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี นั่นหมายความว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องมีสาขาครบทั้ง 4 ภาค ห้ามขาดหายไปติดต่อกัน 1 ปี ถ้าไม่ครบ พรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องสิ้นสภาพ
ข้อมูลหน้าเว็บ กกต.พบว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไลมีสาขาพรรคเพียงแค่ 2 ภาค ซึ่งไม่ครบ 4 ภาค และจัดตั้งตั้งแต่ปี 2555 เพื่อความโปร่งใส กกต.ต้องตรวจสอบและชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ รายละเอียดการมีสาขาในแต่ละปี ถ้าพรรคถิ่นกาขาวมีสาขาไม่ครบ 4 ภาค ติดต่อกัน 1 ปี จะเข้าข่ายการสิ้นสภาพของพรรคตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าพรรคประชาชนจะไม่สามารถนำพรรคที่สิ้นสภาพ มาดำเนินการเปลี่ยนชื่อพรรคได้ พรรคไทยภักดีจะไปยื่นเรื่องดังกล่าวให้ กกต.ตรวจสอบ และดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตามกฎหมาย
โพสต์ของหมอวรงค์กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที เพราะหากสาขาไม่ครบจริง โอกาสถูกยุบมีสูงมากทีเดียว แต่ก็มีคำชี้แจงจากพรรคประชาชนว่า พรรคมีสาขาครบถ้วนทั้ง 4 ภาค คือ ภาคเหนือที่ จ.นครสวรรค์ ภาคกลาง จ.ราชบุรี ภาคอีสานที่ จ.สกลนคร และภาคใต้ที่ จ.นครศรีธรรมราช ไม่งั้น กกต.คงไม่อนุญาตให้พรรคมีการตั้งกรรมการสรรหา จดแจ้งเปลี่ยนชื่อพรรคและธุรกรรมอื่นๆ ข้อมูลที่หมอวรงค์เตรียมไปยื่นเป็นข้อมูลที่ไม่อัปเดต
จากนี้ กกต.คงต้องออกมาพูดว่า ข้อเท็จจริงคืออะไร แต่การหาพรรคสังกัดใหม่ ไม่ได้ยากเย็นอะไร แถมยังมีเวลาถึง 2 เดือน ที่ สส.จากอดีตพรรคก้าวไกลเก็บข้าวของไปอยู่สังกัดใหม่ มุมหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการยุบพรรคแทบไม่มีผลอะไร เพราะมีพรรคการเมืองขึ้นทะเบียนกับ กกต.ไม่รู้กี่สิบพรรค และพรรคพวกนี้พร้อมเซ้งทันทีที่มีการยุบพรรคการเมือง ฉะนั้นแค่ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ไม่ต้องยุบพรรคก็มีผลเท่ากัน สิ่งที่ได้คือภาพพจน์การเมืองไทยไม่เหมือนกัน...๐
อดีตประธานรัฐสภา "ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์" ให้ความหมายการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่คนรุ่นใหม่ควรเอาไปคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ นั่นคือประเทศไทยดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งชาติ โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่แบ่งข้างน้อยข้างมาก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของชาติไทย
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ ไม่ใช่เจว็ด ย่อมต้องมีอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ หน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ ผดุงรักษาความมั่นคงของชาติ และสร้างความผาสุกแก่ประชาชน พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุข จึงต้องมีพระราชอำนาจ
โดยความเป็นไทยพระมหากษัตริย์ทรงรักชาติไทยและประชาชนไทย กระทำการใดต้องกระทำโดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า พระมหากษัตริย์จึงแยกจากความเป็นชาติไทยมิได้ การกระทำการอันใดที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมุ่งหมายล้มเลิกการปกครองของชาติไทยและการดำรงคงอยู่ของชาติไทย...๐
นายชื่น ประชา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
22 พ.ย. ลุ้น ผลการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะ “รับ-ไม่รับ” คำร้องของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” หยุดพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง จาก 6 กรณี ดังนี้ หนึ่ง “ทักษิณ” ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
บันทึกหน้า 4
ต้องเรียกว่า “พุธพิพากษา” ของแท้ โดยเฉพาะศาลอาญาที่ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง “สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์” หรือ “แอม ไซยาไนด์” อายุ 36 ปี
บันทึกหน้า 4
ควันหลงการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ที่ นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ. สังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.)
บันทึกหน้า 4
สมรภูมิเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ในวันที่ 24 พ.ย. ไม่เพียงแค่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนในสนามท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการหยั่งกระแสของทั้งสองฝ่ายในเวทีใหญ่ทางการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะทัพแดงนั้นแพ้ไม่ได้
บันทึกหน้า 4
บันทึกในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนจากผลกระทบปลายๆแถวพายุหม่านยี่ เสียงฟ้าร้องฟ้าคะนองอาจจะไม่มี แต่เสียงอื้ออึง "ทักษิณ" กลับมาแล้ว
บันทึกหน้า 4
เสือกทุกเรื่อง! ตำแหน่งใหม่ที่ "นายใหญ่" เพื่อไทย ศาสดาเสื้อแดง ภูมิใจสถาปนาตัวเองกลางวงปราศรัยใหญ่เมืองอุดร หวังเฉไฉปัดข้อหาเจ้าของพรรคและครอบงำลูกสาว