ก่อนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยชี้ชะตาพรรคก้าวไกลว่าจะถูกยุบหรือไม่ พวกเขามีการดิ้นรนกันมากในลักษณะหมาจนตรอก มีความพยายามในการหาตัวช่วยเข้ามาแก้ต่างในประเด็นต่างๆ มากมาย แต่แล้วในที่สุดพวกเขาก็ไปไม่รอด เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยเมื่อเวลา 15 นาฬิกาของวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เริ่มจากการที่พวกเขาใช้เรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 มาเป็นนโยบายในการหาเสียง การกระทำดังกล่าวนี้ทำให้มีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย
และแล้วศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีข้อวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรม ด้วยคะแนน 9 ต่อ 0 เป็นเอกฉันท์ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการกระทำดังกล่าวอีก แต่หากติดตามดูพฤติกรรมของพวกเขา ก็ไม่อาจพูดได้ว่าพวกเขาได้หยุดการกระทำดังกล่าวแบบเบ็ดเสร็จเสียเลยทีเดียว ท่าทีของแกนนำและด้อมของพวกเขาก็ยังมีการพูดจาแซะกระแนะกระแหนพระราชวงศ์ในเรื่องต่างๆ อยู่เรื่อยๆ รวมทั้งพฤติกรรมของพวกเขาในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง
อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าหากมีการยุบพรรคก้าวไกลก็จะไม่เป็นผลดีกับประชาธิปไตยของประเทศไทย หมายความว่าถ้าหากจะเป็นประชาธิปไตยจะต้องไม่ยุบพรรคที่ทำผิดกฎหมายอย่างนั้นใช่ไหม นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มีประชาชนเลือกเข้ามา จะทำผิดกฎหมายอย่างไรก็ได้ อำนาจตุลาการไม่ควรไปทำอะไรเขา เพราะเขามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่ต้องมีศาลกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาลอะไรก็ตาม คนที่ประชาชนเลือกเข้ามาจะทำอะไรก็ได้ จะผิดหรือจะถูก ก็ไม่อาจไปเอาผิดเขาได้ เพราะประชาชนเลือกเขาเข้ามา ถ้าหากใช้อำนาจตุลาการหรือกระบวนการทางกฎหมายไปจัดการเอาผิดกับพวกเขาก็แสดงว่าฝ่ายตุลาการไม่เป็นประชาธิปไตย ตรรกะวิบัติขนาดนี้ ต่อไปคนเป็น สส.ที่มาจากการเลือกตั้งจะไม่มีใครถูกลงโทษตามกบิลเมืองกันเลยสินะ
ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายบอกว่าพวกเขายังไม่ได้ล้มล้างการปกครอง ยังไม่ได้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นยังไม่สามารถยุบพรรคของพวกเขาได้ พูดแบบนี้จะรอให้มีการล้มล้างให้สำเร็จแล้วจะมาหาทางลงโทษพวกเขากระนั้นหรือ กฎหมายไม่ได้มีเฉพาะบทลงโทษคนที่ทำความผิดสำเร็จแล้วเท่านั้น คนฆ่าคนตายมีความผิด คนที่ยังไม่ได้ฆ่าคนตาย แต่มีเจตนาชัดเจนว่าจะพยายามฆ่าคน ก็มีความผิดเช่นเดียวกัน พฤติกรรมของพรรคก้าวไกลนั้นสามารถพิจารณาเจตนาของพวกเขาได้ว่าเขามีความพยายามที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การแก้ไขหรือการยกเลิกมาตรา 112 นั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาต้องการให้ประชาชนมีเสรีภาพในการจะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการได้ง่ายขึ้น มีทั้งการเสนอให้ลดโทษ หรือให้เป็นคดีแพ่ง แทนที่จะเป็นคดีอาญาด้านความมั่นคง ใครทำผิดก็ให้เสียค่าปรับ หรือถ้าจะเป็นคดีหมิ่นประมาทก็ให้สำนักพระราชวังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอา แบบนี้มันคือการให้พระมหากษัตริย์มาเป็นคู่กรณีกับประชาชนในศาลนะ
เจตนาของพรรคก้าวไกลที่ทำให้ศาลท่านวินิจฉัยว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ดูได้จากการสนับสนุนผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมายมาตรา 112 การไปเป็นนายประกันให้ผู้ที่โดนคดีมาตรา 112 และมีคนในพรรคก้าวไกลโดนคดีมาตรา 112 หลายคน มีทั้งคนที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง และคนที่กำลังรอฟังคำพิพากษา นอกจากนั้นแล้ว หากติดตามการสื่อสารของแกนนำพรรคและด้อมของพรรคบนพื้นที่ social media เราก็จะพบข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น กล่าวหาพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์อยู่เนืองๆ การปราศรัย การบรรยาย การแสดงปาฐกถา การให้สัมภาษณ์ของบรรดาแกนนำของพรรคหลายๆ คนก็มีข้อความจาบจ้วงล่วงละเมิด กล่าวหาพระมหากษัตริย์ด้วยข้อความที่เป็นเท็จอยู่บ่อยๆ เป็นการกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความชิงชังสถาบันให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็จะทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้นศาลจึงวินิจฉัยว่าพวกเขามีความผิดตามที่มีผู้ร้อง
อีกเรื่องหนึ่งคือการที่เขาไปนำเอาเจ้าหน้าที่สถานทูตออกมาแสดงความคิดเห็นห่วงใยประชาธิปไตยของประเทศไทยหากมีการยุบพรรคก้าวไกล เรื่องนี้เป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ประเทศไทยเราเป็นประเทศเอกราช เรามีกฎหมายของเราเองที่ตราขึ้นตามบริบทของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ดังนั้น โดยมารยาทของการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันเป็นสากล เจ้าหน้าที่สถานทูตเรานั้นควรจะมีมารยาทในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ อย่าล้ำเส้น อย่าก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทยที่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร สิ่งที่คนไทยควรต้องพิจารณาก็คือ ชาวต่างชาติเหล่านี้มีแรงจูงใจอะไร มีเหตุผลอะไรที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ พวกเขามีผลประโยชน์อะไรในการสนับสนุนการกระทำของพรรคก้าวไกลด้วยการอ้างความเป็นประชาธิปไตย หรือจริงๆ แล้วสิ่งที่เขาต้องการคือประชาธิปไตยแบบที่เขาสามารถชี้นิ้วบงการและครอบงำรัฐบาลได้ เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา
ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ทำให้เราเบาใจและมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเรายังสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ท่านวินิจฉัยด้วยข้อเท็จจริงและอยู่บนฐานของกฎหมายที่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะที่สมเหตุสมผล ลงรายละเอียดชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจสรุปข้อวินิจฉัย ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบแบบที่ใครที่คิดจะแถออกมาเถียง คงทำได้ยากนะจ๊ะ...ขอบอก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ดร.เสรี ยกวาทะจัญไรแห่งปี 'เขาเว้นเกาะกูดให้เรา'
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประโยควาทะอัปรีย์จัญไรแห่งปี "เขาเว้นเกาะกูดให้เรา" แสดงว่าเขาเมตตาเราสินะ เราต้องขอบคุณเขา สำนึกบุญคุณเขาใช่ไหม