'ตบหน้านักการทูต'

คำวินิจฉัย "ศาลรัฐธรรมนูญ" คดี "ยุบพรรคก้าวไกล" เมื่อวาน (๗ ส.ค.๖๗)

นอกเหนือจากเคลียร์ชัดในข้อโต้แย้งทางกฎหมายทุกประเด็นแล้ว

ยังทรงไว้ซึ่ง "เกียรติยศและศักดิ์ศรี" แห่งสถาบันตุลาการ วินิจฉัยอรรถคดีด้วยดุลยธรรม

โดยมิหวั่้นไหวต่อกระแสกดดันจากอันธพาล "อำนาจนอก" ที่คบคิดกับคนคดในประเทศ

คำวินิจฉัยครั้งนี้ เสริมสร้างความมั่นใจให้กับคนรักชาติบ้านเมืองมากยิ่งขึ้นว่า เมื่อสถาบันตุลาการคัดท้ายประเทศได้หนักแน่น-มั่นคง เช่นนี้

มันผู้ใดก็อย่าหมายล่มชาติได้สำเร็จ

ต่อให้ "นอกชาติ-ในชาติ" สมคบกัน กัดกร่อนบ่อนเซาะมิลดละ ก็ยากจะฝ่าปราการสถาบันตุลาการและประชาชนคนรักบ้านเมืองไปได้

ผมขอยกความตอนหนึ่งในคำวินิจฉัยที่ทรงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาบันทึกไว้เป็น "ประวัติศาสตร์วินิจฉัย" แห่งศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้

...........................................

"......เมื่อพรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย

การยุบพรรคการเมืองต้องเคร่งครัด ระมัดระวัง ให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ความรุนแรงของพรรคการเมือง

ผู้ถูกร้อง (พรรคก้าวไกล) มีการกระทำอันฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) ซึ่งเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง

กฎหมายดังกล่าว ใช้กับพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคการเมืองนั้น จะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม

แต่ทุกพรรคการเมืองต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน

หากมีพฤติการณ์ร้ายแรง.........

กฎหมายจำเป็นที่จะต้องหยุดยั้งการทำลายหลักการพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ศาลรัฐธรรมนูญต้อง 'สั่งยุบพรรค' ผู้ถูกร้อง ตามที่กฎหมายบัญญัติ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แม้นักวิชาการ นักการเมือง หรือนักการทูตต่างประเทศไม่ว่าในระดับใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตนแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ

การแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมรรยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) และวรรคสองแล้ว

ชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ 'เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง' ของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้อง

ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในระหว่างวันที่ ๒๕ มีนาคม  ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗

ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง มีกำหนดเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง

สอดคล้องกับระยะเวลาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๙๔ วรรคสอง

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องแล้ว

จึงต้องสั่งให้ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ในระหว่างวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗

จะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง

หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ภายในกำหนด ๑๐ ปี

นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๙๔ วรรคสอง

---------------------------------------------

ตรงข้อความว่า.........

"แม้นักวิชาการ นักการเมือง หรือนักการทูตต่างประเทศ ไม่ว่าในระดับใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตน แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ

การแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมรรยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน"

ใครเก่งภาษา แปลส่งไปให้ทูต ๑๘ ประเทศ ยูเอ็น และ "นายเบน คาร์ดิน" ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา อ่านทีเถอะ

พวกนี้ บ้านเมืองเขาไม่ได้ทำนา จึงไม่ได้เลี้ยงวัว-ควาย ก็น่าเห็นใจพวกเขา ที่ไม่มีแอ่งน้ำในรอยตีนควายให้ส่องดูเงา

ความที่ไม่เคยดูเงาตัวเอง......

ความเป็นคนเผือก ยกตัววรรณะสูงกว่าคนผิวเหลือง แต่สันดานหยาบ ถ่อย ชอบข่มประเทศในอาเซียนว่าต่ำชั้นกว่า

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านจึงสมเพช ช่วยสอนมรรยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศให้ทูตเผือกเหล่านั้นว่า

แต่ละบ้านเมือง มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายเหมือนกัน

แต่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละบ้านเมืองมีลักษณะสังคมต่างกัน  วัฒนธรรม ประเพณี กระทั่งความรู้สึก-นึก-คิดก็ต่างกัน

ดังนั้น บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายย่อมแตกต่างกันไป ตามบริบทของแต่ละประเทศ

ฉะนั้น การแสดงความคิดเห็นใดๆ ควรรู้จักมรรยาทสากลทางการทูต อย่าเผือก เอามาตรฐานสังคมหนึ่งไปใช้กับอีกประเทศหนึ่ง

ไทยไม่เคยเข้าไปเสือกเรื่องสังคมการเมืองและกฎหมายบ้านพวกคุณ ดังนั้น พวกคุณก็ควรมีมรรยาท เคารพประเทศไทย ด้วยการไม่เสือกกิจการภายในของไทยด้วยเช่นกัน

เรื่องมรรยาทที่ไม่เหมาะสม บางครั้งไม่ต้องให้พูด แค่พฤติกรรมที่ทำ มันก็ฟ้องตัวมันเองชัดเจนอยู่แล้ว

ว่าพวกทูต องค์กร ขบวนการนอกชาติ กับพรรคก้าวไกล พวกคุณสุมหัวทำอะไรกันอยู่?

อย่างกรณียุบพรรคก้าวไกลเมื่อวาน ขบวนการ ปั่นข่าวโลกล้อมไทยกันยกใหญ่ โดยขยุ้มคำไปออกข่าว "ประเทศไทย แค่แก้กฎหมายมาตรา ๑๑๒ ก็ยุบพรรคแล้ว"

อย่าว่าแต่ชาวโลกเลย ชาวไทยก็เถอะ ฟังแค่หัวข่าวชี้นำก็เชื่้อตาม...อะไรวะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แก้กฎหมายก็ผิด ถูกยุบพรรค?

จะมีซักกี่คน สนใจรายละเอียดในทางพฤติกรรมที่พรรคก้าวไกลทำ ว่าเหตุที่ถูกยุบ น่าจะมีการทำอะไร ที่มันเกินเลยไปจากการเสนอแก้กฎหมาย?

และที่เกินเลยนั้น.......

แท้จริงแล้ว ก้าวไกลมีการกระทำ "ขัดต่อบทบัญญัติกฎหมาย" ที่ว่าด้วยบริบทประเทศ!

การบ่อนทำลาย-ยึดครองประเทศใด-ประเทศหนึ่งในยุค "สื่อสารไร้พรมแดน-สื่อสารครองโลก"

ไม่ต้องเปลืองกำลังพลและไม่ต้องใช้อาวุธเหมือนอดีตแล้ว ใช้แค่หัวข่าวและบิดเบือนประเด็นชักนำไปทางตนต้องการเท่านั้น เหลือเฟือ

ยิ่งกับสังคมด้อยศึกษาและใฝ่รู้ ง่ายต่อการป้อนข่าวสารข้อมูลจริงในเท็จ-เท็จในจริง ผสมกับ "โลกล้อมประเทศ" กรอกหู-กรอกตารายวันด้วยแล้ว

ถ้าสังคมไม่แข็ง ประชาชนไม่แกร่งในชาติจริงๆ ระยะยาวในความเป็น "สังคมวัตถุ" มันก็ยากต้าน!

เพราะอย่างนั้น พรรคก้าวไกลเขาจึงชิลๆ แอบดีใจด้วยซ้ำที่พรรคถูกยุบ ยุบแล้วก็ตั้งพรรคใหม่ ทุกอย่างเหมือนเดิม

แถมเป็นจุดขาย "ยิ่งยุบ-ยิ่งโต"

เลือกตั้ง คนจะเลือกพรรคเขามากขึ้น ยิ่้งเพื่อไทย ทั้งพรรคมีสินค้าเก่าคือ "ทักษิณเป็นตัวขาย" อยู่ตัวเดียว เขายิ่งมั่นใจ ครั้งหน้า พรรคเดียวตั้งรัฐบาลได้แน่

ฉะนั้น ถ้าสังคมบริหาร ข้าราชการงานเมือง ต่างยึดประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง

ประจบอำนาจ "ลอยตามน้ำ" หวังอยู่-หวังกินกันไปแต่ละมื้อแต่ละวันอย่างตอนนี้

เสร็จ "โลกที่ล้อมไทย" แน่!

เห็นว่านักศึกษา จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ และที่ มช.เขานัดรวมพลคัดค้านการยุบพรรคกัน

นี่ก็เป็น ๑ กระทำ ที่บอกความหมายชัดเจนกว่า ๑๐๐ คำพูด ว่าการกัดกร่อนบ่อนเซาะ พวกไหนบ้าง ที่ร่วมกันเป็นขบวนการ?

ก็มาดูกันหน่อยว่า พรรคถูกยุบแล้ว ๑๑ กก.บห.ที่ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองมีใครบ้าง?

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

นายชัยธวัช ตุลาธน

น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์

นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา

นายสมชาย ฝั่งชลจิตร

นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

น.ส.เบญจา แสงจันทร์

นายอภิชาติ ศิริสุนทร

นายสุเทพ อู่อ้น 

นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์

ก็มีทั้งที่เป็น สส.และไม่ได้เป็น สรุปเป็นว่า ขณะนี้ เหลือ สส.ที่ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ ๑๔๓ คน

เห็นเขาเชียร์ "นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล" เป็นทายาทส้ม รุ่นที่ ๓ ผมก็เชียร์นะ

แต่จะได้เป็นหรือใครได้เป็น ขึ้นอยู่กับพี่ธนาธรเขาจะชี้ตัว ตามสโลแกน "เป็นคนต้องเท่ากัน"

เอาละ เป็นว่า  ๗ สิงหา. "พิธา-ก้าวไกล" เรียบร้อยไป ๑ พรรค

ต่อไป ๑๔ สิงหา.เป็นคิว "นายกฯ เศรษฐา" ขึ้นเขียงศาลรัฐธรรมนูญ จะอยู่หรือจะไป มีเวลาให้บริกรรมคาถาอีก ๗ วัน!

เห็น "ชัยธวัช" หัวหน้าก้าวไกล ทิ้งวาทะก่อนจากว่า

"ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ในระยะยาว ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของพวกเรากลายพันธุ์ไปเป็นระบอบอื่นได้"

ระบอบอะไรดีล่ะ "ชัยธวัช" พูดให้ชัดอีกนิดซิ?

-เปลว สีเงิน

๘ สิงหาคม ๒๕๖๗          

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ช. 'สุรเชชษฐ์' ช้ำ

ผมจะบอก "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ไม่มีโอกาส เพราะไม่เคยได้รู้จักกับท่าน