'เศรษฐา' ขว้างงูไม่พ้นคอ

จะรอดหรือร่วง?

อ่านหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาจำนวน ๓๒ หน้าที่ นายกฯ เศรษฐา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วมีงานงอกเพียบ

นายกฯ เศรษฐาจ่ายงานให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ "พิชิต ชื่นบาน" ยันศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยรับผิดชอบคดีถูกร้องถอดถอน เพราะตั้ง "พิชิต ชื่นบาน" เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ

หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาวกไปวนมาอยู่บ้าง แต่ก็สรุปสาระสำคัญได้ตามนี้ครับ

"...การดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวคือ ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอชื่อ ขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการในระยะเวลาที่จำกัด และมีชั้นความลับในการดำเนินการ

เนื่องจากขั้นตอนดำเนินการตั้งแต่การเสนอชื่อ การตรวจสอบคุณสมบัติ และการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้ง จะต้องดำเนินการในระยะเวลาที่จำกัดและมีขั้นความลับในการดำเนินการ ดังนั้น ข้อมูลที่สำคัญที่สุดจึงต้องมาจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเอง

ด้วยเหตุนี้ กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐  (๔) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา ๑๖๐  (๕) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ปัจจุบัน ยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือแนวทางการตรวจสอบในกรณีดังกล่าวมา

ก่อน

รวมทั้งยังไม่มีแนวทางการพิจารณาว่า มาตรา ๑๖๐  (๔) และมาตรา ๑๖๐ (๕) เป็นกรณีที่จะต้องใช้ บังคับแก่ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี หรือไม่ อย่างไร

ประกอบกับการพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้น เป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๐..."

คำชี้แจงท่อนนี้ นายกฯ เศรษฐา จงใจบอกว่าการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

และคุณสมบัติรัฐมนตรีที่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่มีหลักเกณฑ์มาก่อน

ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นผู้วินิจฉัย

มันก็ถูกครับ แต่ไม่ทั้งหมด

เป็นเรื่องใหญ่ครับ เมื่อผู้นำประเทศ ไม่มีมาตรฐานความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์อยู่ในสมองเลย ก็เป็นเรื่องยากที่ฝ่ายการเมืองจะสร้างบรรทัดฐานนี้เองได้

แต่ก็เป็นเรื่องดีครับที่โยนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ

ขออย่างเดียว เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแล้ว ปฏิบัติให้เป็นที่ประจักษ์ตามนั้นด้วย

ไปดูหนังสือชี้แจงต่อครับ

เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับทราบรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐนตรี มาติดต่อขอรับแบบแสดงประวัติและแบบแสดงคุณสมบัติ เพื่อไปดำเนินการกรอกและรับรองความถูกต้องของข้อมูล

กรณีของ "พิชิต ชื่นบาน" เป็นบุคคลที่พรรคเพื่อไทยไว้วางใจ จึงได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคราวนี้ ได้ส่งคืนแบบแสดงประวัติและแบบแสดงคุณสมบัติที่กรอกและรับรองข้อมูลตนเองแล้วแก่สำนักเลขาธิการ

คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ โดยได้กรอกและรับรองข้อมูลแบบแสดงประวัติและแบบแสดงคุณสมบัติของตนเอง ไว้ดังนี้

ข้าพเจ้าขอรับรองว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ข้าพเจ้าขอรับรองว่าไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ข้าพเจ้าขอรับรองว่าเคยได้รับโทษจำโดยได้พ้นโทษมาแล้วเกิน ๑๐ ปีนับถึงวันเลือกตั้ง พร้อมระบุหมายเหตุเพิ่มเติมด้วยว่า "โทษจำคุกที่ได้รับไม่ใช่คำพิพากษาในคดีอาญา แต่เป็นคำสั่งศาล จึงไม่เป็นลักษณะต้องห้ามตามตามมาตรา ๑๖๐ และมาตรา ๙๘ ของรัฐธรรรมนูญ"

จะเห็นว่า "พิชิต ชื่นบาน" พยายามจะสู้ว่าไม่ได้ติดคุกเพราะคำพิพากษาศาล แต่เพราะคำสั่งศาล

หนังสือชี้แจงจึงอธิบายต่อเพื่อเชื่อมโยงว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่

"...พฤติกรรมของ 'พิชิต ชื่นบาน' เรื่องคำสั่งศาลละเมิดอำนาจศาจศาล เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานกว่า ๑๕ ปีแล้ว และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้

ดังนั้น การที่ผู้ร้องอ้างว่าการกระทำของ 'พิชิต ชื่นบาน' ที่ต้องคำสั่งศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจ และการถูกลบชื่อจากทะเบียนทนายความ เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรรมอย่างร้ายแรง จึงมีลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรี  โดยมิได้พิจารณาถึงพฤติกรรมและการกระทำอื่นๆ ของผู้ถูกร้องที่ ๒ ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลา ๑๕ ปีที่ผ่านมาเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาร่วมด้วย

จึงเป็นการสร้างหลักตรรกะตามอัตวิสัยจากความนึกคิดของผู้ร้องเองเพียงฝ่ายเดียว!..."

นานๆ ครับจะได้เห็นหนังสือชี้แจงจากคนเป็นนายกรัฐมนตรีในลักษณะนี้

แยกไม่ออกเลยหรือระหว่าง ความซื่อสัตย์สุจริต กับการทุจริตในอำนาจหน้าที่ หรืออาชีพ

ไปดูการแก้ข้อกล่าวหาเรื่อง การตกอยู่ใต้ผู้มีอิทธิพลภายนอก นายกฯ เศรษฐาชี้แจ้งไว้ดังนี้ครับ

"...ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องทำนองว่า การแต่งตั้ง 'พิชิต ชื่นบาน' เป็นรัฐมนตรี เป็นกรณีที่นายกฯ อยู่ภายใต้อิทธิพลภายนอก เอื้อประโยชน์ให้แก่ 'พิชิต ชื่นบาน' และนายทักษิณ ชินวัตร เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีมูล และเป็นเพียงการคาดการณ์ไปเองด้วยอคติของผู้ร้อง..."

คำชี้แจงของนายกฯ เศรษฐา ยืนยันว่าเป็นการกระทำไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและคำนึงถึงประโยชน์ใน

การบริหารราชการแผ่นดินเป็นสำคัญ ไม่ได้รู้เห็นหรือยินยอมให้บุคคลใดใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

ประเด็นนี้พิสูจน์โดยข้อกฎหมายลำบาก แต่ในทางการเมือง ชาวบ้านเขารู้กันทั่วครับว่า ระหว่าง นายกฯเศรษฐา กับ "นักโทษชายทักษิณ" ใครใหญ่กว่ากัน

เขารู้ว่าใครคือเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง

ครับ...ก็สรุปได้ว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง นั้น นายกฯ เศรษฐาบอกว่า เป็นหน้าที่ที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัย และสร้างบรรทัดฐาน

ก็ต้องย้อนกลับไปดูคำสั่งศาลคดีละเมิดอำนาจศาลจากกรณีถุงขนม ๒ ล้านบาท

"...ผู้ถูกกล่าวหา ประกอบอาชีพทนายความ และที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมตระหนักดีว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาล ยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและความศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ

จึงเห็นสมควรลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหา ๖ เดือน ส่วนความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔ หรือความผิดอื่นต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน นั้น ให้ผู้กล่าวหาไปดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป..."

 นับเป็นงานยากสำหรับศาลรัฐธรรมนูญครับ

เพราะหากมีคำวินิจฉัยว่า "พิชิต ชื่นบาน" ไม่ขัดคุณสมบัติกรณีมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์  และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จะอธิบายคำสั่งศาลนี้ได้อย่างไร

ส่วนนายกฯ เศรษฐา ปัดทุกอย่างพ้นตัว ทั้งๆ ที่นายกฯ ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าใคร

นั่นคือ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี

แล้วจะรอดหรือ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ด้านมืดของเสรีภาพ

"เขา" บอกว่ากีฬาเป็นยาวิเศษ "เขา" ที่ว่าจะเป็น "เขา" ไหนก็ตาม แต่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลกว่า กีฬา เป็นยาวิเศษ จริงๆ

'สิงหา' ชี้ชะตาไทย

ร้อนฉ่าครับ! เหตุการณ์ทางการเมือง ๓ เหตุการณ์ใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นแบบรวบยอดในเดือนสิงหาคมเดือนเดียว คือการชี้ชะตาประเทศไทย

ล้างแค้น คสช.

เจี๊ยะป้าบ่อสื่อ... ช่างสรรหาเรื่องให้ปวดกบาลได้ตลอดจริงๆ พรรคส้ม เอาอีกแล้ว ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการลบล้างผลพวงรัฐประหารจำนวน ๓ ฉบับต่อประธานรัฐสภา

พายุหมุนหรือผายลม

พร้อมแล้ว! ก็ไม่รู้สิครับ...วานนี้ (๒๔ กรกฎาคม) "พิชัย ชุณหวชิร" ขุนคลัง นำทีม "ช่วยคลัง" แถลงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันว่า มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว

ความน่ากลัวกำลังจะเกิด

อันเดียวไม่เคยพอ... เมื่อราวๆ ๓๐ ปีก่อน ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเวทีโต้วาที สมัยนั้นที่ดังเป็นพลุแตก ก็มี ฝ่ายชาย "อภิชาติ ดำดี" ถือว่าเด็ด