นอกจากคนอินตะระเดียยุคโบร่ำโบราณ...ท่านจะแบ่งห้วงเวลาของแต่ละยุค ออกเป็น 4 ช่วง 4 ระยะ เริ่มจาก กฤตยายุค หรือ สัตตยายุค ที่บรรดาความดี-ความงาม-ความจริง ต่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ไปทั้ง 4 ส่วน มาจนถึง ไตรดายุค หรือ เตรตายุค ที่ความดีลดลงไปเหลือ 3 ส่วน ความชั่วอุบัติขึ้นมาผสมปนเปอีกประมาณ 1 ส่วน จนค่อยๆ ลาดเอียงมาถึง ทวาบรยุค ที่ความดีหดหายไปเหลือ 2 ส่วน จนมีปริมาณเสมอกับความชั่วที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 ส่วน ไปจนถึงยุคสุดท้าย หรือยุคที่เราๆ-ทั่นๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ อันมีชื่อเรียกขานว่า กลียุค ยุคที่ความดีลดลงไปเหลือเพียงแค่ 1 ส่วน แต่ความชั่วกลับเจริญเติบโต งอกงาม เพิ่มขึ้นอีกไปถึง 3 ส่วน ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เละตุ้มเป๊ะ เละเป็นขี้-เป็นโจ๊ก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้
แต่สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ...ก็คือ การนิยามความหมายในเชิง สัญลักษณ์ ของแต่ละยุค เอาไว้ในภาพของ วัวศักดิ์สิทธิ์ ที่ขาแต่ละข้าง ค่อยๆ หัก จากที่เคยยืนหยัดอย่างงามสง่าด้วยขาทั้ง 4 ข้างมาตั้งแต่ช่วง สัตตยายุค แต่เมื่อพ้นไปจากนั้น ขาข้างแรกที่หัก ก็คือขาแห่ง ความมัธยัสถ์อดออม หรือจะเรียกว่า ความพอเพียง ก็น่าจะได้ หลังจากนั้นขาที่หักลงไปอีกข้างก็คือ ขาแห่ง ความบริสุทธิ์ หรือความจริงจัง-จริงใจ ทำให้ภาพของวัวศักดิ์สิทธิ์กลายเป็น วัวนั่ง แบบชื่อ ฉายา วีรบุรุษชาวอินเดียนแดง อย่าง ซิตติ้ง บุลล์ เอาดื้อๆ จนถึงขาข้างที่ 3 คือขาแห่ง ความเมตตากรุณา ก็หนีไม่พ้นต้องมีอันหักไปอีกข้าง ในช่วงกลียุค หรือช่วงที่เราๆ-ทั่นๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ เหลือขาอยู่เพียงข้างเดียว นั่นก็คือขาแห่ง ความจริง อันอาจถือเป็นอวัยวะสำคัญชิ้นสุดท้ายของวัวศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้...
โดยจะด้วยการนิยามความหมายในเชิงสัญลักษณ์ในลักษณะดังกล่าวหรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที การปรากฏตัวและการมาถึงของผู้ที่จะจุติ จะอวตารลงมาขจัดกวาดล้างบรรดาความชั่วทั้งหลาย อย่าง พระศรีภควัน-กัลกี ตามความเชื่อของคนอินเดียโบร่ำโบราณ จึงต้องอาศัยสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หรือสิ่งที่เรียกว่า ความจริง นี่แหละ เป็นเครื่องมือหรือเป็นตัวช่วยในการให้ได้มาซึ่งชัยชนะต่อความชั่วในแต่ละชนิด แต่ละประเภท จนทำให้เกิดตัวละครเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ราย คือ ธรรมะ และ สัตยา หรือความซื่อสัตย์และความจริง ที่จะกลายมาเป็น ผู้ช่วย ของ พระกัลกี ในการต่อสู้เอาชนะอภิมหาปิศาจแห่งความชั่ว อย่าง กาลี รวมทั้งสมุนอีก 2 ราย คือ โคคา และ วิโคคา อันมีรายละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์โบราณหลายต่อหลายเล่ม ไม่ว่า “วิษณุ ปุราณะ” “ภควัต ปุราณะ” “มาคันเทยะ ปุราณะ” “อัคนี ปุราณะ” “ปัทมะ ปุราณะ” รวมทั้ง “กัลกี ปุราณะ” ฯลฯ เป็นต้น...
และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการเสด็จลงมาขจัดกวาดล้างความชั่วทั้งหลายของ พระกัลกี ตามความเชื่อของคนอินตะระเดียโบร่ำโบราณ ดูๆ แล้วค่อนข้างคล้ายคลึงเอามากๆ กับการเสด็จลงมากวาดล้างความชั่วของ พระเมซซิอาห์ ในหมู่ชาวคริสต์ หรือ พระมะห์ดี ของชาวอิสลามในแต่ละราย คือไม่เพียงแต่ต้องสู้กับอภิมหาปิศาจร้ายอย่าง ซาตาน หรือ ไซตอน อันแทบไม่ต่างอะไรไปจากอภิมหาปิศาจของชาวอินเดีย อย่าง กาลี เท่านั้น แต่ยังต้องสู้กับสมุนปิศาจอีก 2 ราย คือ โกก และ มาโกก ที่มีลักษณะอาการไม่ต่างไปจาก โคคา และ วิโคคา ของชาวอินเดียอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การปรากฏตัวของ พระเมซซิอาห์ ตาม ภาพนิมิต (Revelation) ที่สาวกรายหนึ่งของพระเยซู ผู้มีนามว่า ยอห์น ได้ระบุไว้ในข้อความซึ่งกลายมาเป็น บทวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ไบเบิล จึงสรุปเอาไว้ว่า... แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิดมีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้น มีพระนามว่า...สัตย์ซื่อและสัตย์จริง พระองค์จะทรงพิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความเป็นธรรม...ฯลฯ
คือไม่ใช่แค่ ขี่ม้าขาว แบบเดียวกับ พระกัลกี ของอินตะระเดียเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความ สัตย์ซื่อและสัตย์จริง เช่นเดียวกับที่ พระกัลกี ต้องอาศัย ธรรมะ และ สัตยา เป็นผู้ช่วยในการขจัดกวาดล้างความชั่วทั้งหลายอีกด้วยต่างหาก และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาผู้ที่ใฝ่ดี ผู้ที่ยังคงยึดมั่นอยู่กับ ความดี ทั้งหลาย น่าจะหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงๆ จังๆ กับสิ่งที่เรียกว่า ความจริง อันถือเป็นอวัยวะสำคัญ หรือเป็น ขาข้างสุดท้าย ที่ยังพอจะหลงเหลืออยู่ในยุคที่เราๆ ทั่นๆ ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลาแห่ง กลียุค โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาไปสนใจกับการปรับเปลี่ยน ดัดแปลง กรรมวิธี ต่างๆ นานา เพื่อให้ได้รับการยอมรับ ให้พอมีบทบาทและกิจกรรม ชนิดต้องวิ่งหาแสง หิวแสง เพื่อให้เข้าตาของบรรดาผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ของความชั่วทั้งหลาย...
โดยเฉพาะถ้าหาก ความจริง ที่ว่า...เป็นสิ่งเดียวกับ ความจริงแท้ หรือ ความจริงสูงสุด ด้วยแล้ว การต่อสู้กับความชั่วแม้ในขณะที่เหลือขาอยู่เพียงข้างเดียว ก็ใช่ว่า...มีแต่จะต้อง แพ้-กับ-แพ้ ลูกเดียวก็หาไม่ เพราะการเข้าถึงและเข้าใจต่อความจริงแท้หรือความจริงสูงสุด ก็คือการเข้าถึง-เข้าใจต่อ ธรรมะ อันเป็นแก่นสาระของทุกๆ ศาสนานั่นเอง การยืนหยัด ยืนยันต่อสิ่งดังกล่าว โดยไม่คิดจะผันแปรไปเป็นอื่น ไม่คิดจะปรับตัว ปรับสภาพ หรือไม่คิดจะ กลายพันธุ์ เอาง่ายๆ อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะถือเป็นแนวทาง แนวนโยบาย ของบรรดาผู้ที่คิดดี ใฝ่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะถูกเรียกขานว่าไดโนเสาร์ เต่าล้านปี หรือว่าพวก อนุรักษนิยม ใดๆ ก็ตาม....
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ไม่สนใจใครจะต่อว่า เสียงนกเสียงกา...ข้าไม่สนใจ
ถ้าหากเราจะบอกว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงตำหนิ มีการนำเอาการพูดและการกระทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เหมาะไม่ควร
จาก 'น้ำตา' ถึง 'รอยยิ้ม' พระราชินี
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้อ่านข่าวพระราชาและพระราชินีสเปน เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมในเมืองปอร์ตา แคว้นบาเลนเซีย