ย้ำเป้าหมายหลักทางเศรษฐกิจของเมือง

ภาพดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์
มฤตยูจร(0)เดินในราศีพฤษภระหว่าง 8 กรกฎาคม 2565-18 กรกฎาคม 2572

 “เมื่อยืนอยู่ข้างกำแพงพระนครประมาณกรกฎาคม 2572 เราจะถามตัวเองว่า-สถานะทางเศรษฐกิจของเมืองรัตนโกสินทร์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”

                  นี่คือสิ่งผู้เขียนยังขอย้ำตามที่เคยเขียนดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์มาทุกปีเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2564 มาแล้วว่า ระยะเจ็ดปีระหว่างประมาณ8กรกฎาคม 2565-18 กรกฎาคม 2572 เมืองรัตนโกสินทร์ต้องตีฝ่าสงครามและการปฏิวัติเศรษฐกิจของโลก เพื่อปฎิวัติทางเศรษฐกิจใหญ่ของเมืองเป็นรอบที่สามนับตั้งแต่วางเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 .

                  โดยผลของการปฏิวัติใหญ่ทางเศรษฐกิจคราวนี้จะออกแนวได้ทั้งบวกหรือลบทั้งสองทางขึ้นอยู่กับฝีมือของคนในชาติโดยรวมคือ

                      1.ถ้าทำได้ดีจะออกแนวบวก คือเมืองจะหลุดจากประเทศรายได้ปานกลางที่เป็นอยู่ขณะนี้ที่ประชากรไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่20,900บาท ไปเป็นประเทศประเทศรายได้สูงที่ประชากรจะมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่30,000

(ข้อมูลจากดร.ไกรยศ ภัทราวาส ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือกสค.)

                  2.ถ้าทำไม่สำเร็จเมืองก็จะติดกับดักรายได้ปานกลางต่อไปและโชคร้ายกว่านั้นเมืองมีโอกาสจะถูกโลกทิ้งไว้ข้างหลังไม่เห็นฝุ่นและเจ็บปวด

                   ส่วนคำอธิบายทางโหรสำหรับปรากฎการณ์นี้ เป็นลางจากมฤตยูจร(0)เจ้าของภัยอาเพศ-การปฏิวัติเพื่อให้เกิดสิ่งที่ใหม่กว่า-ก้าวนำ-ล้ำสมัย-เหตุการณ์ไม่ทันนึกคิด-ผลัดเปลี่ยนพลัดพรากทันทีทันใด-โชคอันไม่แน่นอน-กิจการที่เกี่ยวกับมหาชนฯลฯเข้าไปเดินในราศีพฤษภซึ่งเป็นดินแดนของเศรษฐกิจและการทำมาหาได้ของเมือง

                   อีกทั้งราศีพฤษภก็เป็นอาณาบริเวณหรือขอบเขตของเศรษฐกิจโลกที่ทางโหรถือว่าลัคนาสถิตราศีเมษด้วย

                   ในเมื่อมฤตยูเป็นดาวของการปฎิวัติ-ล้ำสมัยที่ไม่ถูกโฉลกกับสิ่งเก่าๆ เมื่อไปเดินในราศีพฤษภ เศรษฐกิของโลก-และเศรษฐกิจเมืองรัตนโกสินทร์-รวมทั้งคนจึงถูกเขย่าอย่างหนักเป็นระยะๆเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่เช่น

                  เขย่าโลกจริงสำหรับการปฏิวัติเศรษฐกิจรอบนี้คือปิดตำนานเครดิตสวิสธนาคารขนาดใหญ่และเก่าแก่ของโลกไปเมื่อมีนาคม 2566-โลกใต้สู้กับโลกเหนือซาอุดิอาระเบียเข้าร่วมกลุ่มBRICS-เขย่าตลาดคลิปโตหัวทิ่มเมื่อปี2565-ปรากฎการณ์ยานยนต์ไฟฟ้ารุกคืบยานยนต์สันดาป-สินค้าจีนตีตลาดไปทั่วโลกรวมทั้งรถไฟฟ้าจนบางประเทศต้องนำมาตรการภาษีมาใช้ฯลฯ

                  ระดับประเทศไทยก็เข้าสู่การเขย่าทางเศรษฐกิจเป็นระยะๆเช่นกลับมาเริ่มสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดิอาระเบียหลัง36ปีของการหมางเมิน-ความพยายามทำโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้-ปลดล้อคการผลิตเหล้า-โครงการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรหรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ-อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไทยเคยถูกขนานนามเป็นดีทรอยส์แห่งเอเชียถูกตั้งตำถามจากทั้งบีบีซี.และ HSBC ว่าไทยจะรักษาไว้ได้หรือไม่เพราะช่วงนี้ที่เปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าบริษัทที่เคยมาลงทุนผลิตรถยนต์ในไทยหยุดผลิตไปแม้จะมีบริษัทที่ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาลงทุนแทน-บริษัทการบินไทยรอดเพราะปรับตัวและโครงสร้างอย่างมาก-บขส.ทำท่าจะไปได้ดีเพราะปรับตัวเช่นเปิดจองตั๋วออนไลน์ได้ตลอดปี-ย่านการค้าที่เคยรุ่งเรื่องหลายแหล่งแพ้ทางค้าขายออนไลน์ฯลฯ

                 ในส่วนการทำมาหากินของคนในเมืองก็เปลี่ยนแปลงและปฏิวัติไปหมดเขย่าและกระทบกันไปทั่ว เช่นปรากฎการณ์ด้านข้อมูลข่าวสารที่มีคนผลิตคอนเท้นส์ราวสองล้านคนเลือกรับไม่หวาดไม่ไหวทะลายการผูกขาดของสื่อได้ชะงัด-เจเอสแอล.ปิดกิจการหลังทำมา43ปี-แย่งกันขายของออนไลน์-สินค้าจากจีนตีตลาดไปทั่ว-ศาลแพ่งเปิดแผนกซื้อขายออนไลน์-การหลอกลวงออนไลน์เต็มเมืองประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นเหยื่อจำนวนมากจนบางคนผวาไม่อยากรับโทรศัพท์ก็มี-กิจการบางแห่งไม่รับเงินสด-แรงงานต่างด้าวเต็มเมืองชนิดไม่ต้องไปกวาดต้อนมาก็มาเองจนบางพื้นที่คนไทยต้องตัวลีบฯลฯ

                 ส่วนวิธีการรับมือมฤตยูของเมือง-ระดับประเทศนั้นดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พูดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ว่าทางเศรษฐกิจนั้นภูมิทัศน์(Landscape)ของการการแข่งขันเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว เพราะต้องแข่งขันเพิ่มขึ้นจากเดิมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเล่นสำคัญในตลาดโลกคือจีน ไทยจึงต้องไม่ทำอะไรแบบเดิมเช่นเอาแต่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องปรับเชิงโครงสร้าง ลงทุนทางเทคโนโลยี่ใหม่

                   สาระที่ส่งมาจากดร.เศรษฐพุฒิมีนัยยะทางโหรคืออาการส่งสัญญาณของมฤตยูเจ้าของการปฏิวัติคือหากเมืองมีอาการอึดอัดในเรื่องเศรษฐกิจเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้ เช่น อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติต่ำ คนในเมืองรู้สึกอัดอั้นตันใจต่อสภาวะเศรษฐกิจ รัฐต้องกล้าแสดงพลังนำปฏิวัติ หากไม่ปฏิวัติก็จะถูกปฏิวัติ ถ้าฝืนทำอะไรแบบเดิมๆเช่นเฝ้าแต่กระตุ้นเศรษฐกิจก็จะส่งผลให้เมืองถูกทิ้งล้าหลังอย่างเจ็บปวด

                  ส่วนจะปฏิวัติเศรษฐกิจอย่างไรนั้นผู้เขียนซึ่งมีความรู้เพียงเศรษฐศาสตร์1คงมิบังอาจมีความคิดเห็นว่าอะไรบ้างที่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์ทางเศรษฐกิจของเมืองในภูมิทัศน์การแข่งขันที่เป็นอยู่

                  เพียงแต่หวังจากอาการของดวงดาวว่า มฤตยูนั้นในทางโหรถือว่าเป็นตัวแทนโชคลาภและความสำเร็จของเมือง(เกษตรราศีกุมภ์-ภพลาภะ)

                  และ แม้สมัยนั้นจะยังไม่นำดาวดวงนี้มาใช้แต่เมื่อย้อนรอยไปวินาทีที่วางเสาหลักเมือนั้นมฤตยูอยู่ในราศีมิถุน-ภพสหัสชะ หรือโยคหน้าทำให้ลัคนาเมืองเข้มแข็ง

                 จึงย้ำเหมือนเดิมอีกรอบว่าไม่ว่าเมือง-คนในเมืองจะต้องตีฝ่า-ปฏิวัติเศรษฐกิจขนาดไหนผลสรุปที่จะออกมาคือเมื่อยืนอยู่ข้างกำแพงเมืองเมื่อกลางกรกฎาคม 2572 น่าจะออกมาบวกมากกว่าลบ

                  แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นทางโหรเมืองยังมีเหวลึกหรือนรกทางเศรษฐกิจดักทางอยู่ให้เมืองและคนในเมืองฟันฝ่า (ยังมีต่อ)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หมดปัญญา...เทวดาต้องรอด

เวลานี้ มีคนบางคนทำผิดกฎหมาย ไม่ให้ค่ารัฐธรรมนูญ บดขยี้กระบวนการยุติธรรมจนป่นปี้ แล้วปรากฏว่าเขาไม่มีความผิดใดๆ ไม่มีหน่วยงานใด ไม่มีกฎหมายมาตราใดจะเอาโทษเขาได้

ว่าด้วยความสำคัญของ 'จังหวะ' และ 'โอกาส'

อาทิตย์นี้...ก็ 22 ธันวา.เข้าไปแล้ว อีกแค่ไม่กี่วันก็ถึงช่วงจังหวะ คริสต์มาส ที่คงมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง บทเพลงอันสุดจะซาบซึ้ง ตรึงใจ ไม่ว่าประเภท จงกระเบน-จงกระเบน (Jingle Bells)

ตั้ง'นายพล'ไปต่อ

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จำนวน 41 นาย ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี

ลัคนามังกรกับเค้าโครงชีวิต ปี 2568

ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ลูกหลาน-ความรัก-ความหวัง ตลอดปียังอดเอาทุกข์นำหน้าชีวิตไม่ได้- ตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นไประวังป

นักการเมืองไม่ทำชั่ว...ไม่ต้องกลัวรัฐประหาร

นายกรัฐมนตรี 2 คนที่มาจากตระกูลชินวัตรต้องถูกยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ทำให้นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นหมายเลข 1 ของตระกูลชินวัตรมีความประหวั่นพรั่นพรึงการทำรัฐประหารของทหารเป็นอย่าง

'หิริ-โอตตัปปะ'คือวาระแห่งชาติ!!!

คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความอาย หรือจะเรียกภาษาพระ ภาษาบาลี ประมาณว่า หิริ-โอตตัปปะ ก็คงพอได้ นับวันมันชักเป็นอะไรที่ ขาดแคลน