เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือหวยเกษียณ ของกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมการออมของประชาชนในประเทศ โดยในเฟสแรกจะโฟกัสไปที่กลุ่มของผู้ที่มีอาชีพอิสระ แรงงานนอกระบบและผู้ประกันตน มาตรา 40 เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะไม่มีทางเลือกในการออมเงินเหมือนกับกลุ่มพนักงานเงินเดือน พนักงานประจำ
โดยหลักเกณฑ์โครงการหวยเกษียณ ประกอบไปด้วย 1.ผู้ออมสามารถซื้อสลากแบบขูดดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน กอช.ใบละ 50 บาท ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน 2.สามารถซื้อได้ทุกวันตลอด 24 ชม. โดยจะมีการออกรางวัลทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น.
3.รางวัลที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล และรางวัลที่ 2 จำนวนเงิน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล ผู้ถูกรางวัลจะสามารถถอนเงินรางวัลได้ทันที หากรางวัลออกไม่ครบ ทบไปงวดต่อไป 4.ไม่ว่าถูกรางวัล หรือไม่ถูกรางวัล เงินที่ซื้อสลากทุกบาท จะถูกเก็บไว้ในบัญชีเงินออมของแต่ละบุคคล ผ่าน กอช. และจะสามารถถอนคืนได้ตอนอายุ 60 ปี เพื่อการออมทรัพย์รองรับการเกษียณ และ 5.เงินในบัญชีนั้นยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนตลอดระยะเวลาก่อนเกษียณ ผ่าน กอช.
ทั้งนี้ ทาง กอช.วางเป้าหมายของโครงการมีจำนวนสมาชิกเข้าร่วมโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ภายในระยะเวลา 3 ปี และรูปแบบการดำเนินการคือ ออกสลากเริ่มต้นประมาณ 5 ล้านใบต่องวด (ต่อสัปดาห์) หรือ 260 ล้านใบต่อปี โดยกำหนดออกรางวัลทุกวันศุกร์ (รวม 52 งวดต่อปี) ในราคาขายใบละ 50 บาท คิดเป็นเงิน 250 ล้านบาทต่องวด หรือ 13,000 ล้านบาทต่อปี
กำหนดรูปแบบสลากเป็นสลากดิจิทัล (สลากขูดดิจิทัล) โดยผู้ซื้อลงทะเบียนการซื้อและซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ในลักษณะแอปพลิเคชันที่ผูกกับบัญชีธนาคาร ทั้งนี้ จำกัดการซื้อสลากต่อคนได้สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน หรือคนละไม่เกิน 60 ใบต่องวด
สำหรับเหตุที่รัฐบาลต้องเร่งผลักดันโครงการนี้ออกมาก่อนโครงการอื่น ก็ต้องยอมรับว่า ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ คล้ายๆ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สิ่งที่ไทยเราแตกต่างกว่าก็คือ ไทยเราจะเจอปัญหา แก่ก่อนรวย ซึ่งผู้สูงอายุในประเทศจะไม่มีเงินพอในการดำรงชีวิต
โดยจากผลวิจัยของสถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ ระบุว่า คนไทย 70% มีรายได้มากกว่ารายจ่าย แต่กว่า 37% มีการออมไม่ถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน ดังนั้นถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป หากไม่มีการกระตุ้นให้เกิดการออมเงินเลย เรื่องการดูแลประชาชนผู้สูงอายุจะกลายเป็นภาระมหาศาลของรัฐบาล ที่จะต้องกันเงินมาใช้ในเรื่องนี้ จนไม่เหลืองบในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นการที่รัฐบาลกระตุ้นการออม โดยจูงใจผ่านการลุ้นรางวัลไปด้วย น่าจะถูกจริตคนไทยมากกว่าการส่งเสริมการออมประเภทอื่น แถมใช้งบสนับสนุนเพียงหลัก 700-800 ล้านบาทต่อปี นับว่าคุ้มค่ากว่าการที่จะต้องไปเสียงบประมาณช่วยเหลือในอนาคตที่ใช้เงินมากกว่านี้มาก
สอดคล้องกับผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 ระบุว่า ปัญหาแก่ก่อนรวยของสังคมไทยยังน่าห่วง โดยพบว่ากลุ่มวัยทำงานใกล้เกษียณ (51-60 ปี) ส่วนใหญ่ยังมีสินทรัพย์น้อย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายหลังเกษียณ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของกลุ่มนี้คือ ปัญหาภาระหนี้ โดย 56% ของครัวเรือนที่มีหนี้พบว่ามีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูง
อย่างไรก็ดี มองว่าโครงการนี้ไม่ใช่การมอมเมา หรือเป็นการพนัน แต่เป็นการจูงใจให้ คนไทยหันมาเก็บออมเพื่ออนาคตของตัวเองมากขึ้น จึงถือว่าเป็นอีกโครงการดีๆ ที่จะทำให้ประชาชนมีเครื่องมือในการออมแบบใหม่ และในอนาคต รัฐบาลก็มีการขยายกลุ่มของคนที่เข้าร่วมโครงการมากขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมการออมในประเทศได้.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เคาต์ดาวน์ปลอดภัยส่งท้ายปี
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นวาระแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง โดยในปีนี้สถานที่จัดงาน Countdown ทั่วประเทศไทยหลายหน่วยงานได้เตรียมกิจกรรมไว้ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกและสัมผัสความงดงาม
แชร์มุมมอง‘อินฟลูเอนเซอร์’ในตลาดอาเซียน
การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน แต่กลยุทธ์การทำการตลาดของแต่ละแบรนด์นั้นล้วนแตกต่างกันไป ล่าสุด วีโร่ ได้เปิดตัวเอกสารไวต์เปเปอร์ฉบับใหม่ในหัวข้อ “ผลกระทบ
ของขวัญรัฐบาล
อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว ก็เป็นธรรมเนียมของรัฐบาลและ ครม.ที่จะมีมาตรการเป็นของขวัญมอบให้กับประชาชน ซึ่งการประชุม ครม.ล่าสุดเริ่มมีการเคาะมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนกันแล้ว
ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันเวทีโลก
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ
ปี68ธุรกิจบริการอาหารยังโตต่อเนื่อง!
“ธุรกิจบริการอาหาร” ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตาในปี 2568 จากอานิสงส์ท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้การบริโภคอาหารน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐยังมีการอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ดันSMEอีอีซีบุกตลาดตปท.
ที่ผ่านมารัฐบาลอาจจะยังไม่ได้พูดถึงโครงการพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี มากนัก เนื่องจากคงจะยุ่งกับการบริหารงานในแนวทางอื่นๆ อยู่ แต่กับหน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก