สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ บ่นไปเรื่อยๆ ว่าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ทำไม่ถูกไม่ต้อง กำลังสร้างปัญหาให้แก่ประเทศชาติ ขยับขึ้นมาอีกหน่อยก็คือ ไม่บ่นอย่างเดียว แต่ชี้แนะด้วยว่าฝ่ายไหนควรทำอะไรที่จะเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติให้มีความเจริญพัฒนา ประชาชนมีความสุข แต่บ่นไป แนะนำไป คนที่ทำไม่ถูกไม่ต้องไม่ยอมฟัง ไม่แก้ไข ไม่ทำตามข้อเสนอแนะ ก็ทำอะไรคนที่ทำผิดคิดชั่วที่มีการกระทำที่ทำร้ายประเทศชาติไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม คนที่ทำผิดคิดชั่ว ทำสิ่งที่เลวร้าย ทำลายความมั่นคงของประเทศด้วยความเห็นแก่ตัว แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าคนดีที่รักชาติ แต่พวกเขาเป็นคนกลุ่มน้อยที่ขยันทำพฤติกรรมเลวร้ายที่เป็นประโยชน์กับตัวพวกเขา พวกเขาเป็นคนกลุ่มน้อย
ที่ขยัน (Active Minority) คือขยันทำเลวทำชั่วที่เป็นการทำร้ายประเทศ ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจว่าประโยชน์ส่วนตนที่เขาได้นั้นมันเป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างไร ผลประโยชน์ที่เขาได้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่คำว่า “ประเทศชาติ” เป็นนามธรรมที่ไม่มีตัวตนให้เห็น
ปัญหาของบ้านเมืองเวลานี้อยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยปัญหาที่รอคนเก่งคนดีมาช่วยแก้ไข แต่คนเก่งคนดีเหล่านั้นก็ไม่สนใจที่จะเข้ามาแก้ไข เพราะไม่อยากเข้ามาในวังวนของการเมืองไทยที่หลายคนมองว่ามันเป็นการเมืองน้ำเน่า ที่มีคนกากๆ เน่าๆ เข้ามาทำงาน ถึงแม้ว่านักการเมืองไม่ได้กาก ไม่ได้เน่าไปทั้งหมด แต่คนเก่งคนดีมักจะแพ้ทางคนเลว และไม่ได้อำนาจ แม้อยากจะช่วยชาติมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะไม่มีอำนาจเท่ากับนักการเมืองบางคนที่เราอยากบอกว่ากากมาก แต่ละเรื่องที่คิดจะทำนั้น มันไม่ใช่เรื่องของประเทศหรือประชาชน แม้พวกเขาจะชอบอ้างว่าเขาทำงานการเมืองเพื่อประชาชน แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาเหล่านี้ (จำนวนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด) ก็พยายามหาโครงการที่พวกเขาจะได้ประโยชน์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม นโยบายต่างๆ ก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่เอาผิดได้ยาก หรือบางครั้งคนที่ถือกฎหมายที่จะเอาผิดพวกเขาได้ก็ไม่ทำ อาจจะเป็นเพราะความกลัว ความเกรงใจ หรืออาจจะได้ผลประโยชน์ที่คุ้มกับการช่วยให้นักการเมืองเลวๆ ทำผิดคิดร้ายกับบ้านเมือง มันคือการยอมพายเรือให้โจรนั่ง
จากที่กล่าวมาข้างต้นเราก็จะเห็นได้ว่า นอกจากประเทศไทยจะมีนักการเมืองจำนวนหนึ่งเป็นคนที่เลวร้ายแล้ว เรายังมีข้าราชการที่เลวร้าย ทำตัวเป็นแนวร่วมช่วยให้นักการเมืองโกงบ้านโกงเมืองเพื่อผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการได้ตำแหน่ง ได้อำนาจ หรือได้เงินทอง และเรายังมีผู้รักษากฎหมายบางหน่วยงาน เจ้าหน้าที่บางคนในหน่วยงานนั้นใส่เกียร์ว่าง ไม่ทำหน้าที่ในการจัดการกับนักการเมืองและข้าราชการที่ทำผิดคิดร้ายกับประเทศไทย ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ บางคนใส่เกียร์ว่างเพราะความกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน บางคนก็เกรงใจ เพราะนักการเมืองที่ทำชั่วนั้นมีบุญคุณมาก่อน หรือบางคนก็เป็นคนที่ซื้อได้ ยอมเป็นผีรับจ้างโม่แป้งให้นักการเมืองชั่ว ไม่เห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แค่ 3 ฝ่ายที่ว่ามานี้ก็ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ จนพัฒนาไม่ทันประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ที่เราเคยแข่งกับเขามาก่อน แต่ตอนนี้เขารุดหน้าเราไปไกลแล้ว แม้แต่อินโดนีเซียและเวียดนามก็มีการพัฒนาได้เร็วกว่าเรา แซงหน้าประเทศไทยเราไปแล้วหลายๆ เรื่อง
นักวิชาการบางคนก็ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมืองเลวๆ ด้วยการใช้สถานะการเป็นนักวิชาการของตน พูดจาอ้างทฤษฎีนี่นั่นนู่น อธิบายการกระทำของนักการเมืองเลวให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีความชอบธรรม ประชาชนก็จะเชื่อคำอธิบาย คำชี้แจงของนักวิชาการ และเขาพวกนี้ก็จะได้ตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานักการเมือง ได้โครงการต่างๆ ที่มีงบประมาณสนับสนุนจากการจัดการของนักการเมือง
ถัดจากนักวิชาการ เรายังต้องเผชิญกับสื่อมวลชนที่ตอนนี้มีช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลทั้ง offline และ online หลายสำนัก หลายคนละทิ้งคำว่าจรรยาบรรณไปแล้ว บางครั้งพวกเขาอวยคนเลว ด่าคนดี ทำตัวเป็นแนวร่วมของนักการเมืองเลวๆ นำเสนอเรื่องราวที่ทำให้ประชาชนหลงรักคนเลว และไม่พอใจคนดี นักการเมืองดีๆ มีผลงาน ไม่ชม แต่ร่วมกับนักการเมืองเลวๆ ถล่มนักการเมืองที่ทำดี เมื่อนักการเมืองเลวๆ ทำสิ่งที่เลวร้ายก็ปิดปากเงียบ ไม่นำเสนอให้ประชาชนรับรู้ แต่หากนักการเมืองน้ำดี ทำอะไรผิดพลาดนิดเดียวรุมด่าแบบเอาเป็นเอาตาย ด่านักการเมืองน้ำดีเป็นหมูเป็นหมา และไม่ละอายที่จะปล่อยข่าวลวง (Fake news) ให้ร้ายคนดี อวยคนเลว
เรื่องราวอันเลวร้ายที่สื่อชั่วๆ นำเสนอนั้น ผนวกกับดารานักแสดงบางคนที่ไม่พอใจการทำงานของนักการเมืองน้ำดีที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้เพราะทำให้ตัวเองตกงานในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือไม่เคยจ้างทำงานที่ได้เงินจำนวนสูงๆ ก็จะออกมา call out ด่ารัฐบาล คำด่าเหล่านี้เป็นวัตถุดิบอันโอชะของสื่อเลวๆ ที่จะงับเอาไปขยายความต่อ ครอบงำประชาชนไม่ให้มองเห็นผลงานของนักการเมืองน้ำดี อาศัยความเป็น Superstar เป็น Net idols คนพวกนี้สามารถทำให้ประชาชนบางกลุ่มบางพวกเห็นกงจักรเป็นดอกบัว รักและหลงนักการเมืองเลวๆ ที่เอานโยบายประชานิยมโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้กิน ประชาชนที่เห็นแก่เศษเนื้อข้างเคียงที่นักการเมืองเลวๆ โยนให้ก็จะมีค่านิยมว่า “โกงไม่เป็นไร ถ้าหากโกงแล้วเอามาแจกให้ประชาชนมีกินมีใช้” เมื่อประชาชนบางกลุ่มบางพวกคิดเช่นนี้ เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวแบบนี้ นักการเมืองเลวๆ ก็คงจะชนะการเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจไปเรื่อยๆ กัดกร่อนประเทศไทยไปเรื่อยๆ จนอาจจะถึงจุดที่ประเทศไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลวที่ต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซงในการแก้ไขนะ ถึงวันนั้นเราก็ต้องสูญเสียอธิปไตยบนดินแดนสุวรรณภูมิของเรา จะรอให้ถึงวันนั้น โดยไม่คิดจะแก้ไขอะไรกันเลยเหรอคะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ดร.เสรี ยกวาทะจัญไรแห่งปี 'เขาเว้นเกาะกูดให้เรา'
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประโยควาทะอัปรีย์จัญไรแห่งปี "เขาเว้นเกาะกูดให้เรา" แสดงว่าเขาเมตตาเราสินะ เราต้องขอบคุณเขา สำนึกบุญคุณเขาใช่ไหม