ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ ฝรั่งมองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7: ตะวันออกที่ศิวิไลซ์ ของ ธีระ นุชเปี่ยม จัดทำโดยมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี
“5.2 ตะวันตกมองการเริ่มต้นของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในสยาม
“รายงานของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารประจำสถานทูตฝรั่งเศส.....
ในท่ามกลางสถานการณ์สับสนตึงเครียดนี้ ‘การรัฐประหาร’ ครั้งใหม่ (ด้วยการประกาศยุบสภา) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 1933 (พ.ศ. 2476) จึงเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกได้คาดการณ์ไว้แล้ว รายงานของ พันโท รูซ์ ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวต่างๆ ก่อนหน้านั้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ของพันเอก พระยาทรงสุรเดช ต่อกลุ่มนายทหารที่มาชุมนุมกัน ซึ่ง พันเอก พระยาทรงสุรเดช ได้ถือโอกาสนี้แถลงปกป้องตนเองในกรณีที่ว่า ประสงค์จะปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้น ยังมีการเคลื่อนย้ายรถบรรทุกของทหารให้วิ่งไปตามถนนสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ โดยอ้างว่า ขาดสถานที่ซ้อมรบ จนทำให้ผู้คนยิ่งพากันหวั่นวิตก และเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างกว้างขวาง ไปถึงย่านธุรกิจ ในส่วนของการรัฐประหารนั้น รายงานระบุว่า ‘ดำเนินการโดยฝ่ายขวาของคณะรัฐบาลปัจจุบัน’ และกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ ดังนี้
…คงต้องรับรู้ว่าการรัฐประหารครั้งนี้ ฝ่ายขวาได้ดำเนินการอย่างแยบยลยิ่ง
บรรดาพลพรรคของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมต่างก็แยกตัวตีจาก ผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา 2 คน คือ นายประยูร [ภมรมนตรี] (ลูกครึ่งเยอรมัน) และ พันเอกพระยาทรงสุรเดช ก็ทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี และยังเข้าไปร่วมกับฝ่ายขวา หลวงประดิษฐ์มนูธรรมนั้นถูกหลอกให้ดำเนินการทำแผนพัฒนา ‘เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติอันเป็นที่กล่าวขวัญ โดยรัฐบาลจะเป็นเจ้าของที่ดิน ในขณะที่ราษฎรจะเป็นผู้ออกแรงงานและได้ค่าจ้างให้มีอยู่มีกิน และยังเป็นผู้นำแผนดังกล่าว กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กอปรกับมีการโฆษณาว่า เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวนี้มี ‘ลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน’ ทำให้เกิดการต่อต้านไม่เห็นด้วยโดยทั่วไป รัฐบาลได้ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้บังคับใช้กฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์อันเข้มงวดเพื่อขับไล่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม...ความตั้งใจของรัฐบาลก็คือ จัดการให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมสมัครใจเดินทางออกนอกราชอาณาจักรสยามสัก 2-3 เดือน....’
-------------------
ข้อสังเกต: ในความเห็นของพันโท รูซ์ การปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราตามในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ถือเป็น “การรัฐประหาร”
ข้อความในราชกิจจานุเบกษามีดังนี้ คือ
และรัฐบาลได้ออก “คำแถลงการณ์ของรัฐบาลในการปิดสภาผู้แทนราษฎรและรอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา มีข้อความดังนี้
“รัฐบาลขอแถลงให้ประชาชนทราบเพื่อเป็นที่เข้าใจทั่วกันในเหตุผลอันสำคัญยิ่งซึ่งบังเกิดขึ้น กระทำให้เป็นความจำเป็นที่ต้องปิดสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่และรอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
ในคณะรัฐมนตรี ณ บัดนี้เกิดแตกแยกกันเป็น 2 พวก มีความเห็นแตกต่างกันและไม่สามารถที่จะคล้อยตามกันได้ ความเห็นข้างน้อยนั้นปรารถนาที่จะวางนโยบายเศรษฐกิจไปในทางอันมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสม์ ความเห็นข้างมากนั้นเห็นว่านโยบายเช่นนั้นเป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม และเป็นที่เห็นได้ โดยแน่นอนทีเดียวว่า นโยบายเช่นนั้นจักนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร และเป็นมหันตภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ
ในคณะรัฐมนตรีซึ่งมีรัฐมนตรีถึง 20 คน จะหวังให้มีความเห็นเหมือนกันไปทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไปนั้นไม่ได้ ก็จริงอยู่ แต่ว่าถ้ารัฐบาลจักดำรงอยู่ในความสามารถบริหารราชการแผ่นดินโดยเรียบร้อยแล้ว เป็นความจำเป็นยิ่งที่รัฐมนตรีทุกคนจักต้องเป็นผู้ที่มีความเห็นไปในทางเดียวกันในนโยบายอันสำคัญๆ ความเป็นไปของคณะรัฐมนตรีในเวลานี้เป็นภาวะอันแสนสุดจะทนทานได้ ไม่ว่าจะเป็นอยู่หรือจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองใด และไม่ว่าจะมีรูปรัฐบาลเป็นอย่างไร
สมาชิกแห่งสภาผู้แทนราษฎรในเวลานี้เล่า ก็ประกอบขึ้นด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ สภานี้มีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ จนกว่าจะได้มีสภาใหม่โดยราษฎรเลือกตั้งสมาชิกขึ้นมา สภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราวเช่นนี้ หาควรไม่ที่จะเพียรวางนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของเก่าอันมีอยู่ใช้อยู่ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน ส่วนสภาในเวลานี้จะอ้างว่าไม่ได้ทำหรือยังไม่ได้ทำกฎหมายอันมีลักษณะไปในทางนั้นก็จริงอยู่ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามีสมาชิกเป็นจำนวนมากคนมีความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น และมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อรัฐมนตรีอันมีจำนวนข้างน้อยในคณะรัฐมนตรี
ความแตกต่างกันในสภา ซึ่งมีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติกับคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ในทางบริหารดั่งนี้ เป็นที่น่าอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศ โดยกระทำให้ราชการชักช้า เกิดความแตกแยกกันในรัฐบาล ก่อให้เกิดความหวาดเสียวและความไม่แน่นอนแก่ใจประชาชนทั่วไป
ฐานะแห่งความเป็นอยู่เช่นนี้ จะปล่อยให้คงเป็นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายอันสูงสุดไม่ว่าในบ้านเมือง และโดยคติเช่นนั้นเท่านั้นที่บังคับให้รัฐบาลต้องปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่
รัฐบาลขอย้ำความข้อหนึ่งว่า พระราชกฤษฎีกานี้ให้รอการใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะบางมาตรา และเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2476
-----------------
และข้อความในหมายเหตุท้ายรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 59 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475 มีข้อความที่หน้า ๑๐๐๐ ว่า
“หมายเหตุ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกประชุมวิสามัญตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นต้นไป
หนังสือเล่มนี้ได้ลงรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อนวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ เท่านั้น ตอนต่อไปจะได้จัดพิมพ์ภายหลัง”
แต่อัครราชทูตอังกฤษกลับมิได้เห็นการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ ๑ เมษายน ฯ ว่าเป็น “การรัฐประหาร” แต่กลับเห็นว่า
“การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลมิได้ดำเนินการเร็วเกินไป สภาแห่งนี้มิได้ตอบสนองวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ และก็มิได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นใดๆ แทบจะไม่มีคนในในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่ตราบใดที่ยังคงมีบทบาทในลักษณะของสำนักทะเบียน (registry office) ก็จะไม่มีพิษมีภัยอะไร อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆ มานี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมและกลุ่มผู้สนับสนุน 3-4 คนในคณะรัฐบาล เมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเป็นเสียงข้างน้อย ก็เริ่มกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านขึ้นในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาเสนอแต่งตั้งเข้ามาเมื่อมีการจัดตั้งสภาแห่งนี้ พวกเขาไม่มีกลุ่มผู้สนับสนุนนอกสภาแต่ในสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกประมาณ 25-30 คนจากทั้งหมด 70 คนที่พวกเขาพึ่งพาได้ ในเดือนมิถุนายนจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้มีสมาชิกทั้งจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งรวมกัน 240 คน (น่าจะผิดพลาด เพราะตัวเลขที่ถูกต้องคือประมาณ 140 คน/ผู้เขียน) สภาผู้แทนราษฎรก็คงจะกลายเป็นสภาฝูงชน (mob assembly) และก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ลู่ทางเช่นนี้จะทำให้พวกหัวไม่รุนแรงเกิดความวิตกหวาดผวา ข้าพเจ้าเห็นว่าแถลงการณ์ของรัฐบาล [ที่อธิบายเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา] เป็นการแถลงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา”
แต่มีข้อสังเกตว่า ในขณะที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวรวมทั้งคำแถลงการณ์ของรัฐบาล ใช้คำว่า “ปิดประชุมสภาฯ” แต่ในเอกสารคำแปลความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษ ใช้คำว่า “ยุบสภาฯ” การปิดประชุมสภาฯ ในภาษาอังกฤษ คือ prorogation ส่วนการยุบสภาฯ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า dissolution ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่า ตกลงแล้ว ต้นฉบับรายงานของอัครราชทูตอังกฤษใช้คำว่าอะไรแน่ระหว่าง prorogation กับ dissolution !
หลังจากที่ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวข้างต้นไปแล้ว ท่านเห็นว่า ปรากฎการณ์ทางการเมืองวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นการทำรัฐประหารตามความเห็นของพันโทรูซ์ หรือไม่เป็นตามความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษ ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คนเสื้อแดงแห่รับ 'ทักษิณ' เตรียมปราศรัยหาเสียงนายกอบจ. วันเดียว 3 เวที
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก
ย้อนวิบาก...3ป.67 ปิดฉาก...ก้าวไกล เปลี่ยน...นายกฯ เปิด...ระบอบทักษิณ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 04 มกราคม 2568
'วันนอร์' ชี้นักการเมืองไม่ใช่อาชญากร บทลงโทษไม่ควรรุนแรงถึงขั้นตัดสิทธิ-ยุบพรรค
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีสถานการณ์การเมืองปี 2568 มีโอกาสเกิดคดีความที่นำมาสู่การยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิ สส. ว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับองค์กรที่มีหน้าที่วินิจฉัย
'ชูศักดิ์' ดักคอฝ่ายค้านยื่นซักฟอก บอกปม 'ชั้น14-MOU44' คุยนานแล้วไม่มีน้ำหนัก
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบมีการลงมติตามมาตรา 151 ในสมัยประชุมนี้ว่า ถือเป็นสิทธิของฝ่ายค้าน แต่ตนคิดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นขึ้นอยู่กับประเด็น
เชือดนิ่มแต่เจ็บจี๊ด! 'นิพิฏฐ์' ตอกกลับ 'เด็จพี่-พายัพ' ตำหนิ 'ชวน หลีกภัย'
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า สันดานเดียวกัน คบกันได้ ผมอ่านข่าว นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และ นายพายัพ ปั้นเกตุ ออกมาวิจารณ์ท่านชวน
'ภูมิธรรม' มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบเทอม 4 ปีแน่!
'ภูมิธรรม' มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี เชื่อปี 68 ไม่มีเหตุวุ่นวายนำสู่รัฐประหาร ชี้ ปชต.ไม่ควรสะดุดขาดตอน ย้ำสัมพันธ์ทหารดีมาก มอง 'ยิ่งลักษณ์' กลับไทยธรรมดาของคนอยู่ ตปท.