โถช่างกล้า...มั่นหน้ามั่นโหนกถ่มถุย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่รอให้ผู้บริหารที่เก่ง ดี มีวิสัยทัศน์มาแก้ปัญหานำพาประเทศสู่การพัฒนา พอมีการพูดถึงปัญหากันมากๆ ก็มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ไม่เคยบริหารประเทศเลย แต่เป็นพรรคที่เต็มไปด้วยคนปากดี สร้างวาทกรรมครอบงำด้อมของตนเองอย่างต่อเนื่อง วาทกรรมที่ว่านั้น หลายครั้งมีความงดงามทางภาษา เป็นสำนวนที่คมคาย แต่ส่วนใหญ่ไปลอกจากคำคมของคนอื่น หรือบางครั้งก็ไปลอกมาจากวรรณกรรมต่างๆ ด้อมฟังแล้วก็ปลื้ม หลงใหลคนพูด เทิดทูนบูชาเป็นขวัญใจ

ไม่ว่าจะมีข่าวเรื่องพฤติกรรมอันเลวร้าย ทำผิดกฎหมาย โกหกพกลมอย่างไร พวกเขาก็ยังไม่คลายรัก ยังคงรักอย่างมั่นคงตรงมั่น จะมีการสำรวจความพึงพอใจทั้งตัวคนและพรรค พวกเขาก็มาอันดับหนึ่ง

ตลอด ด้วยเหตุนี้ ทำให้พวกเขามีความหยิ่งยโสโอหังอวดดีว่าเป็นกลุ่มการเมืองที่ประชาชนให้ความนิยมมากที่สุด จนกล้าที่จะพูดว่า “บ้านเมืองมีปัญหา ถ้าหากเลือกพวกเขามาบริหารประเทศ แล้วปัญหาของประเทศจะหมดไป” ช่างกล้าจริงนะ พ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย มั่นหน้ามั่นโหนกไปหรือเปล่า ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

ที่ผ่านมาแสดงความคิดเห็นแบบไม่เข้าท่ามากี่เรื่องแล้ว แม้แต่คนที่เป็นมือเศรษฐกิจของพรรคที่ครั้งหนึ่งเคยมีแววว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความคิดเห็นเรื่องเศรษฐกิจออกมา หุ้นแดงทั้งกระดาน เพราะตอนนั้นหลายคนคิดว่าพวกเขาจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะหัวหน้าพรรคเรียกตัวเองว่า “Prime Minister Elected” ที่แปลว่า “คนที่ถูกเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว” เป็นการเลียนแบบคำว่า “President Elected” ของสหรัฐอเมริกา ที่แปลว่า “คนที่ถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีแล้ว” เป็นการเลียนแบบที่ใช้ไม่ได้เลย เพราะประเทศอเมริกาปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และประชาชนเลือกประธานาธิบดีโดยตรง ดังนั้น คนที่ชนะเลือกตั้งจึงเรียกตัวเองได้ว่าเป็น “President Elected” หลังจากชนะการเลือกตั้ง แต่ยังไม่ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เมื่อสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแล้วจึงเรียกว่า “President” เฉยๆ ไม่มีคำว่า “Elected” อีกต่อไป

แต่ประเทศไทยเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นระบบรัฐสภาที่ประชาชนไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีผู้บริหารประเทศโดยตรง ประชาชนมีสิทธิเพียงเลือก สส. และ สส.ไปเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น คนที่ชนะเลือกตั้ง แต่ยังไม่ได้รับการลงคะแนนให้เป็นนายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรใช้คำว่า Prime Minister Elected แบบ President Elected ของอเมริกา จริงๆ แล้ว ก่อนที่ กกต.จะรับรองให้คนที่ชนะเลือกตั้งให้เป็น สส. ถ้าหากจะใช้ภาษาอังกฤษ พวกเขาก็เป็นเพียง “MP Elected” หรือคำเต็มคือ “Member of Parliament” แปลว่าคนที่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกรัฐสภา เมื่อ กกต.รับรองและพวกเขาไปรายงานตัวแล้ว เขาก็จะเป็น MP คือสมาชิกรัฐสภาเต็มตัว ดังนั้นการที่ใครคนใดคนหนึ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็น สส. แต่รัฐสภายังไม่ได้ลงคะแนนให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่อาจจะเรียกตัวเองว่า “Prime Minister Elected”

หลังจากที่พวกเขาออกมาพูดว่า ถ้าหากประชาชนเลือกให้เขาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ปัญหาต่างๆ ของประเทศไทยจะหมดไป ผู้คนใน Social media จำนวนไม่น้อยที่มองไม่เห็นว่าพวกเขามีความสามารถแต่อย่างใด ฟังพวกเขาแสดงความคิดเห็นเรื่องต่างๆ ก็ไม่เข้าท่า และติดตามดูพฤติกรรมทางการเมืองที่เลวร้ายของพวกเขาก็ออกมาแสดงความคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ และอาจจะนำพาประเทศไปสู่ความเสื่อม และไม่มีความมั่นคง สถาบันหลักของประเทศอาจจะถูกล้มล้าง ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามจะหายไป วัฒนธรรมอันงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยอาจจะเสื่อมสลาย กฎกติกาในการอยู่ร่วมกันในสังคมอาจจะถูกทำลาย ประชาธิปไตยจะเบ่งบานแบบไร้ขอบเขต เพราะทุกคนจะอ้างสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจตน บ้านเมืองในยามนั้นคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ไร้ระเบียบ ประเทศอาจจะถูกแบ่งแยก

การที่มีผู้คนมองว่าพวกเขาเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศชาติ มากกว่าจะเป็นคนที่เข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ก็เพราะตลอดเวลาที่พวกเขาเข้ามาทำงานการเมืองนั้น ลองทบทวนกันดีๆ เราก็จะพบว่าเรื่องปากท้องประชาชนพวกเขาไม่ได้สนใจอย่างจริงจัง ไม่เคยนำเสนอแนวทางในการแก้ไขอย่างชัดเจน นอกจากประกาศโครงการประชานิยมที่หลายอย่างทำไม่ได้จริง เรื่องความเดือดร้อนประชาชน เราก็ไม่เคยได้ยินเขาเสนอแนวทางในการแก้ไข ประชาชนประสบอุบัติภัย ก็ไม่เห็นพวกเขาไปช่วย ทั้งๆ ที่บางพื้นที่พวกเขาชนะยกจังหวัด มีแต่ทหารลงไปช่วย ในการทำงานการเมือง พวกเขามุ่งแต่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองของไทยที่อาจจะไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะพวกเขาพยายามจะลดความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออาจจะต้องการล้มล้างให้หมดไปจากประเทศไทย

เรือธงในการทำงานการเมืองของพวกเขาคือ มุ่งที่จะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายที่มีไว้เพื่อปกป้องพระประมุขของประเทศไม่ให้ใครหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายสากลที่มีกันทุกประเทศ ไม่ว่าประเทศนั้นจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ตาม พวกเขายุยงเยาวชนให้ออกมาชุมนุมทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายมาตรา 112 แล้วตอนนี้ก็มุ่งแต่จะให้มีการออกกฎหมายนิรโทษคนทำผิดอาญามาตรา 112 โดยอ้างว่าเป็นการทำผิดที่มีแรงจูงใจมาจากการเมือง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ การทำผิดมาตรา 112 เป็นความผิดทางอาญาด้านความมั่นคงของประเทศ พวกเขาเหิมเกริมขนาดที่เอาเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 มาเป็นประเด็นในการหาเสียง และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เสื่อมทรุดและอาจจะเป็นการล้มล้างระบอบการปกครองของประเทศ

แทนที่จะทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ หรือแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาสร้างวาทกรรมครอบงำสาวกไปวันๆ จริงบ้างเท็จบ้าง เขาเต็มใจที่จะโกหกโดยไม่มีความละอาย อ้างความเป็นประชาธิปไตยแบบผูกขาดไว้พรรคเดียว แต่ใครคิดต่างเอาทัวร์ไปลง นี่หรือที่เขาเรียกว่าประชาธิปไตย เรียกร้องความทัดเทียม แต่ในพรรคไม่มีความทัดเทียม โกหกเก่งแบบนี้จะให้บริหารประเทศได้อย่างไร ถ้าหากได้บริหารประเทศ คงไม่ใช่ทำไทยให้ก้าวหน้า แต่จะสร้างปัญหามากกว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น มันคือการถ่วงความก้าวหน้าของประเทศไทยนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พระผู้เป็นเจ้า'กับ'กรรมดี-กรรมชั่ว'

ถ้าหากยังไม่ถึง จังหวะ และ โอกาส ที่เหมาะ-ที่ควร...ในอันที่จะทำให้ เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป ความพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญ-บังคับ-ขับไส

สีกากีไม่มีแผ่ว

วลี "สีกากีไม่มีแผ่ว" ดูจะไม่เกินจริงนัก ศึก "นายพล" ยังคงคุกรุ่นพร้อมจะลุกโชนตลอดเวลา "นายพัน-นายร้อย" ก็ไม่น้อยหน้า คำสั่งเด้งเข้ากรุแทบจะออกมาเป็นรายวัน

ทำไม่ดีก็ยังไม่ได้...ผลที่ได้เลยยังไม่ดี

การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก เริ่มต้นตั้งแต่การกำหนดวิธีเลือกที่หลายคนติดตามแล้วรู้สึกสับสน เข้าใจยาก

การปะทะทางอารยธรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุเพราะ อ่านหนังสือหมดบ้าน จนแทบไม่เหลืออะไรให้อ่านอีกต่อไปแล้ว!!!...เลยต้องหันไปคว้าเอา พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ท่านทูตวัฒนธรรมอิหร่าน