ถึงเวลาสกัดสินค้าจีนด้วยภาษี

ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลและหน่วยงานราชการของแต่ละประเทศ ที่จะต้องหามาตรการในการดูแลผู้ประกอบการภายในประเทศ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันได้ จนทำให้หลายธุรกิจต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด

สำหรับประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ทางการจีนส่งสินค้าเข้ามาขาย ทั้งในรูปแบบนำเข้ามาขายผ่านระบบการค้าปกติ และขายในรูปแบบอีคอมเมิร์ซ อย่างที่ทราบ ไทยกับจีนเรามีข้อตกลงเขตการค้าเสรี ซึ่งสินค้าหลายประเภทไม่มีภาษีนำเข้า ส่งผลให้มีสินค้าทะลักเข้ามาในไทยอย่างมหาศาล และสินค้าเหล่านี้มีราคาที่ถูกจนสามารถแย่งมาร์เก็ตแชร์จากสินค้าในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ จะทำให้ธุรกิจของคนไทยอาจถึงวันพังพินาศก็เป็นไปได้ อย่างที่เห็นตัวอย่างของโรงงานหลายแห่งที่ต้องปิดตัวลงไป

 ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสภาวการณ์ของไทยเวลานี้ เหมือนเมืองที่กำแพงป้องกันกำลังจะแตก สินค้าจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นจากการผลิตที่มากเกินความต้องการในจีน กำลังหาช่องทางระบายออก จนเกิดเป็นการดัมพ์ราคาเข้ามาในหลายตลาด ทั้งกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ สินค้าเหล่านี้ทะลักเข้ามาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และแทรกซึมเข้ามาแบบไม่รู้ตัว เผลอแว่บเดียวก็เข้ามายึดตลาดในบ้านเราไปเสียแล้ว

แต่ตอนนี้ดูเหมือนรัฐบาลของไทยเริ่มมีการตระหนักรู้แล้วว่า คงจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมไม่ได้ เพราะแต้มต่อของผู้ประกอบการไทยไม่มีเลยเมื่อเทียบกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามา โดยไม่มีการเสียภาษีทั้งศุลกากร ในส่วนภาษีนำเข้า รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งแตกต่างจากสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไปเต็มๆ

ล่าสุด ทางกระทรวงการคลังจึงได้ออกประกาศเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเดิมทีไทยเราไม่เคยคิดจะเก็บภาษีจากส่วนนี้ เพราะต้องการอำนวยความสะดวกทางการค้า แต่ตอนนี้คงปล่อยปละแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

มีข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า ปัจจุบันสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 พันบาทนั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง 8 เดือนของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.66-พ.ค.67) พบว่ามีปริมาณสินค้าดังกล่าวราว 89 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่าราว 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 30-40% ซึ่งหากมีการจัดเก็บภาษีแวตดังกล่าว รัฐจะมีรายได้ราว 1.8 พันล้านบาท และคาดว่าทั้งปีงบประมาณ 2567 สินค้ากลุ่มนี้จะมีมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหากคิดเป็นการจัดเก็บภาษีตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่ราว 2.1 พันล้านบาท

หวังเหลือเกินว่า มาตรฐานนี้จะช่วยลดช่องว่างราคาสินค้าระหว่างผู้ผลิตในประเทศ พอจะสู้กับสินค้าจากจีนได้ แม้ว่าอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้สินค้าจีนเข้ามาตีตลาดแบบนี้

แต่เมื่อเทียบกับความจริงจังของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ดูเหมือนมาตรการของประเทศเรานั้นดูเบาบางไปเลย โดยเฉพาะอย่างประเทศอินโดนีเซีย มีการออกคำสั่งห้ามซื้อขายสินค้าบนสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Facebook หรือ Instagram ตั้งแต่เมื่อปีก่อน เพื่อปกป้องธุรกิจในประเทศ ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยตั้งกำแพงภาษี 100-200% เลยทีเดียว

แม้ว่ามาตรการของไทยจะเข้มข้นน้อยกว่า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย และคงต้องมีการติดตามผลว่า เมื่อมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนี้แล้ว จะสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างไรบ้าง ต้องติดตามกันต่อไป.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจปี68เติบโตไม่ง่าย ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

สำนักวิจัยหลากหลายสำนัก ฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน และการเติบโตที่เป็นไปได้มากที่สุดก็อยู่ระดับ 2.7-2.9% ซึ่งน้อยกว่าที่รัฐบาลมีการวางแผนเอาไว้ว่าจะผลักดันจีดีพีไทยปีนี้โตถึง 3%

ปี68สินเชื่อระบบแบงก์ไทยหืดจับ

ปี 2568 ยังเป็นอีกปีที่ต้องจับตากับทิศทางของเศรษฐกิจไทย เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งบวกและลบ ที่จะเข้ามามีผลกับภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์กดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน

แผนดัน ‘เกษตรครบวงจร’

อุตสาหกรรมเกษตร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย และที่ผ่านมาเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนไปได้ด้วยสินค้าเกษตร แต่ก็มีบางช่วงที่ติดขัดและไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ จากปัจจัยกระทบต่างๆ

เคาต์ดาวน์ปลอดภัยส่งท้ายปี

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นวาระแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง โดยในปีนี้สถานที่จัดงาน Countdown ทั่วประเทศไทยหลายหน่วยงานได้เตรียมกิจกรรมไว้ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกและสัมผัสความงดงาม

แชร์มุมมอง‘อินฟลูเอนเซอร์’ในตลาดอาเซียน

การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน แต่กลยุทธ์การทำการตลาดของแต่ละแบรนด์นั้นล้วนแตกต่างกันไป ล่าสุด วีโร่ ได้เปิดตัวเอกสารไวต์เปเปอร์ฉบับใหม่ในหัวข้อ “ผลกระทบ

ของขวัญรัฐบาล

อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว ก็เป็นธรรมเนียมของรัฐบาลและ ครม.ที่จะมีมาตรการเป็นของขวัญมอบให้กับประชาชน ซึ่งการประชุม ครม.ล่าสุดเริ่มมีการเคาะมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนกันแล้ว