
“ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด” ผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อย่างไม่เป็นทางการ) ปรากฏว่า นายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 1 ได้คะแนนทั้งสิ้น 203,010 คะแนน ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 3 ได้คะแนน 201,041 คะแนน ทำให้ นายชาญชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แบบสูสีด้วยคะแนนห่าง 1,969 คะแนน
ว่ากันว่าผลที่ออกมาเป็นการต่อวีซ่าให้ระบอบทักษิณยังสามารถทำงานต่อไปได้ และอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายว่าเป็นผู้ถือธงนำฝ่ายอนุรักษนิยมหรือไม่ ทั้งที่ตัว นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ค่ายแดง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนโตทักษิณ ทุ่มสุดตัวลงไปช่วย “นายชาญ” หาเสียงในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้าย ว่ากันว่าจัดทรัพยากรเกี่ยวกับการเลือกตั้งแบบเต็มกำลัง
เพื่อหวังกู้สถานการณ์ หลังน้องเขยอย่าง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ถูกวางเป็นประธานวุฒิสภา คุมเสียงสภาสูง แต่ตกรอบแม้กระทั่งตำแหน่ง สว.ก็ไม่ได้
แต่เมื่อผลออกมา “ลุงชาญ” ชนะบิ๊ก “แจ๊ส” คนเพื่อไทยจึงหายใจสะดวก และมีทางเดินการเมืองเพิ่มขึ้นทันที ขณะที่คนในค่ายสีน้ำเงินก็ลดแรงกดดันลง ไม่ถูกล่อเป้า หลังถูกมองว่าอาจเป็นตัวเลือกใหม่เพราะสามารถคุมสภาสูงได้ ด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
สะท้อนผ่าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) บอกว่า จากการนับคะแนนไม่เป็นทางการ ซึ่งผลปรากฏว่านายชาญชนะการเลือกตั้ง ถือเป็นการหักล้างคำสบประมาทว่ากระแสของพรรคเพื่อไทยยังครองใจประชาชน ซึ่งตนคิดว่าการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่สมศักดิ์ศรี และผลออกมาก็แสดงว่าพี่น้องทั้งจังหวัดยังให้ความชื่นชอบพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่เสื่อมมนตร์ขลังใช่หรือไม่ นายประเสริฐตอบทันทีว่า “ไม่เสื่อมครับ ไม่เสื่อม นี่เห็นได้ชัดเลยว่า แม้เราจะต้องทำตามนโยบายหลายอย่าง แต่เราก็สามารถคว้าชัยมาได้”
หลังจากนี้ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะนำแนวทางของการเลือกตั้ง อบจ.ปทุมฯ ไปขยายผลทางการเมืองของตัวเองต่อไป โดยเฉพาะการเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศในต้นปีหน้าหรือไม่ แต่หากครั้งหน้าล้มเหลว ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ตั๋วทำงานไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่
๐ ในช่วงที่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ยังมีคดีอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา หาก เศรษฐา ไม่อยู่แล้ว ใครจะขับเคลื่อนรัฐบาลต่อไป ในช่วงที่ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่มีความพร้อม เคลื่อนไหว หรือสื่อสารอะไรก็มีแต่ข่าวแง่ลบ เพราะหมดเครดิตตั้งแต่จับมือกับระบอบสองลุง
นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายและอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ดีลพลิก ฝ่ายอนุรักษ์ตื่น ขืนรบดะทั้งส้ม-แดงมีแต่เจ๊งลูกเดียว จับตาอนุทินขึ้นแท่นนายกฯ!!! สภาพดีลใหญ่พลิก และมีทีท่าว่าฝ่ายอนุรักษ์ไม่สามารถประสาน หรือเดินคู่ไปกับพรรคเพื่อไทยได้อีกแล้ว
ให้จับตาดูนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถูกสอยวันที่ 10 กรกฎาคม จากนั้นดัน “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขึ้นเป็นนายกฯ จับมือก้าวไกล ฟื้นประชาธิปไตย ฟื้นเศรษฐกิจและความสุจริตในการปกครองประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้งนิรโทษกรรมทุกฝ่าย เดินหน้าประเทศไทย"
หากไปถาม “เสี่ยหนู” ในส่วนของนายกฯ อาจรับพิจารณาหากสถานการณ์เอื้ออำนวย
แต่จะให้หันไปพลิกขั้ว จับมือกับก้าวไกล และนิรโทษกรรมเหมารวมคดีมาตรา 112 คนอย่าง “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย แค่คิดยังไม่กล้าเลยจ้า.
ช่างสงสัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทยอย่างรุนแรง ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่พังถล่มลงมา เป็นการประจานระบบราชการไทยและรัฐบาลอีกครั้ง สำหรับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
” แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทย ไม่เพียงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตึก สตง.ถล่ม และต่อมายังมีตึกราชการต่างๆ เริ่มทรุดตัว
บันทึกหน้า 4
รายงานสถานการณ์จากศูนย์เอราวัณ กรณีเหตุแผ่นดินไหว ข้อมูล ณ เวลา 06.00 น. พบว่า ในขณะนี้พบผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 32 ราย เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 83 ราย
บันทึกหน้า 4
หลังเปิดแผลรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยุทธการจากนี้ต้อง “โรยเกลือ” เพื่อให้แผลแสบเจียนตาย เมื่อฝ่ายค้านมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบ “นายกฯ อิ๊งค์” มีน้ำหนักและมัดแน่น ก็จงยื่นตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องของ “นิติสงคราม” หากมัวแต่คิดแบบนั้นเท่ากับติดกับดักความคิดตัวเอง
“ศรีสะเกษยั่งยืน”
จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นยุทธศาสต์สำคัญทางการเมือง หากพรรคใดช่วงชิงได้ ก็มีโอกาสจะขยายความนิยมครองพื้นที่ในดินแดนอีสานใต้
บันทึกหน้า 4
ในที่สุด “ลิเกการเมือง” ว่าด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จบอย่างเป็นทางการแล้ว โดย มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 488 เสียง ก็ลงมติเห็นด้วยในการไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ไว้วางใจ 319 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ซึ่งก็เรียบร้อยตามที่ “นายใหญ่” สั่งมานั่นเอง ...๐