การปะทะทางอารยธรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุเพราะ อ่านหนังสือหมดบ้าน จนแทบไม่เหลืออะไรให้อ่านอีกต่อไปแล้ว!!!...เลยต้องหันไปคว้าเอา พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ท่านทูตวัฒนธรรมอิหร่าน ท่านมอบให้เป็นอภินันทนาการตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มาพลิกอ่านแบบหน้าต่อหน้ากันโดยละเอียด จนหมดเกลี้ยงครบถ้วนประมาณกว่า 1,700 หน้า หรือระดับหนาๆ พอๆ กับ พระคัมภีร์ไบเบิล ของคริสต์ศาสนา ที่ก็อ่านแบบเกลี้ยงไปแล้วเหมือนกัน...

หลังจากนั้น...ยังมาต่อด้วยหนังสือเรื่อง สุนทโรวาทอันตรึงใจของสิบสี่มะอ์ซูมิน หรือ 14 อิหม่ามที่ได้รับการยกย่อง เชิดชู บูชา ในหมู่พวกมุสลิมนิกายชีอะห์อีกเป็นเที่ยวที่ 2 หรือเที่ยวที่ 3 ไปแล้วก็ว่าได้ อันพอทำให้เกิดข้อสรุปถึงความเป็นไปของ ศาสนาอิสลาม แบบคร่าวๆ ได้ว่า คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่องของ ศรัทธา นั่นแหละเป็นหลัก คือเป็นศาสนาที่ต้องอาศัย ความเชื่อ แบบสุดจิตสุดใจ ของบรรดาผู้เคารพและศรัทธาทั้งหลาย แม้ไม่ต่างไปจาก ศาสนาคริสต์ มากมายซักเท่าไหร่ แต่ในแง่ของ ความเข้มข้น ทางการประพฤติและปฏิบัติ อาจเอาจริง-เอาจังยิ่งกว่า ไม่ว่าจะด้วยการ 

ละหมาด หรือที่เรียกในสำเนียงอิสลามว่า นมาซ การกำหนดให้ถือศีลอดในเดือน รอมฎอน ไปจนถึงความเชื่อในเรื่อง วันพิพากษา หรือวันที่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าตายไปแล้ว หรือยังไม่ทันได้ตาย ต้องยืนตรงต่อหน้า พระผู้เป็นเจ้า หรือ พระอัลลอฮ์ เพื่อรับการวินิจฉัยชี้ขาดถึงผลแห่ง ความดี-ความชั่ว อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ฯลฯลฯ....

การอาศัย ศรัทธา เป็นแก่นสาระพื้นฐานทางศาสนา...จะตรงกับ จริต ของใครต่อใครหรือไม่? อย่างไร? นั่นคงต้องไปว่ากันอีกที แต่ในเมื่อ พลโลก กว่า 1 ใน 3 หรือเกือบครึ่งโลก ต่างให้กับเคารพและศรัทธาต่อ ศาสนาอิสลาม จนตราบเท่าทุกวันนี้ ก็ต้องถือเป็นภาพสะท้อนความรู้สึก-นึกคิดของมวลมนุษยชาติได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน แต่ก็แน่ล่ะว่า...โดยความเป็นไปของ โลก ในทุกวันนี้ ก็คือโลกที่ค่อนข้างจะเป็น ปฏิปักษ์ กับ ศรัทธา ใดๆ ก็ตาม ไม่เว้นแต่เฉพาะศาสนาอิสลาม ยังหมายรวมไปถึงศรัทธาในศาสนาต่างๆ ไม่ว่าพุทธ-คริสต์-ฮินดู ฯลฯ ที่ต่างต้องถูกกระทบ กระแทก โดยความเชี่ยวกราก การไหลบ่าของวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นตัวกัดกร่อน ศรัทธา ไม่ว่าในทางหนึ่ง-ทางใด จนเต็มไปด้วย ผู้ไม่มีศาสนา หรือไม่เชื่อถือ ศรัทธาในศาสนาใดๆ อีกต่อไป แม้ได้ชื่อว่าเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม ฯลฯ ตามเชื้อชาติ สัญชาติ หรือขนบธรรมประเพณีใดๆ ก็เถอะ...

ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ที่การกระทบกระทั่งระหว่าง ศาสนาอิสลาม กับความเป็นไปของโลกยุคใหม่ ถึงกับทำให้นักคิด-นักทฤษฎีชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ผู้เพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่นานมานี้ อย่างนาย Samuel P. Huntington ได้นำเสนอไว้เป็นแนวคิด-ทฤษฎี ว่าด้วย การปะทะทางอารยธรรม หรือ A Clash of Civilization อันมีอารยธรรมอิสลามหรือศาสนาอิสลามนั่นแหละเป็นแนวหน้าสุด และอารยธรรมซีนิค หรือ ลัทธิวัฒนธรรม แบบจีน หรือถ้าเรียกตามสำบัด สำนวนของพวก นักประชาธิปไตยตะวันตก ก็คือพวก อำนาจนิยม ทั้งหลายเป็นตัวหนุนช่วย จนหนีไม่พ้นต้องนำไปสู่การปะทะขัดแย้งระดับโลก หรือก่อให้ฉากเหตุการณ์แบบที่เรียกๆ กันว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างชนิดยากที่จะหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

และดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกก็กำลังเดินไปในแนวนี้นั่นแหละทั่น การเอาชนะคะคานกันระหว่าง โลกตะวันตก กับ โลกตะวันออก ระหว่าง โลกเหนือ กับ โลกใต้ หรือ โลกขั้วอำนาจเดียว กับ โลกหลายขั้วอำนาจ ต่างดำเนินไปในลักษณะเดียวกันกับแนวคิด-ทฤษฎีของนาย Samuel Huntington แบบแทบไม่เหลือ สะพานถอยหลัง เอาเลยแม้แต่น้อย หรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันได้เลย สิ่งที่เรียกกันว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งไม่มีใครอยากจะให้เกิด อยากให้อุบัติขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากโลกทั้งโลกต้องเจ็บปวด รวดร้าวทรมานกับสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จนน่าจะ เข็ดฟัน ไปแล้วพอประมาณ...

แต่ก็นั่นแหละ...ไปๆ-มาๆ แล้ว การปะทะขัดแย้งระหว่างโลกทั้งสอง หรือจะเรียกว่า การปะทะทางอารยธรรม ก็คงพอได้ มันชักจะเป็นไปในลักษณะ ไฟต์บังคับ อะไรทำนองนั้น คือไม่อาจสิ้นสุด ยุติลงไปได้เลย ถ้าหากฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่งยังมิได้ฉิบหาย-วายวอด พังพินาศลงไปต่อหน้า-ต่อตา ส่วนใครจะเป็นฝ่ายแพ้-เป็นฝ่ายชนะนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาไปสนใจให้มากเรื่อง-มากความ เพราะโดยหลักๆ แล้ว...คงต้อง แพ้...ไปด้วยกันทุกฝ่าย!!! นั่นแล หรือคงต้องก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย การสูญเสียของมวลมนุษยชาติ ไม่น้อยไปกว่าสงครามโลกแต่ละครั้งเท่าที่เคยมีมา ยิ่งถ้าลองไปอ่านคำพยากรณ์ คำทำนายใน พระคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์ ยิ่งมีแต่ต้องหวาดเสียว ขนหัวลุก-ขนคอตั้งยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะได้มีการระบุ จำนวน ของผู้ที่ต้องล้มตายไปเพราะสงครามในลักษณะเช่นนี้ถึง 2,000 ล้านคนเป็นอย่างน้อย...

ด้วยเหตุนี้...ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา แม้เป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่คิดจะเกี่ยวข้อง พัวพัน กับความขัดแย้งของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดด้วยเลย แต่ด้วยเหตุเพราะไม่ได้ที่ตั้งอยู่บนอวกาศ หรือในสุญญากาศ โอกาสที่จะหลีกเลี่ยง หลีกหนีความพังพินาศ ฉิบหาย สามารถอยู่รอด-ปลอดภัยตามแบบฉบับไทยๆ แบบ รู้รักษาตัวรอด-เป็นยอดดี น่าจะลำบากมิใช่น้อยดังนั้น...คงได้แต่สวดมนต์ ภาวนา และพยายามมองในแง่ บวกๆ เข้าไว้นั่นแหละว่า ด้วยความเป็นไปของโลกในลักษณะเช่นนี้ อาจถือเป็นจังหวะและโอกาส ในการขจัด-กวาดล้าง อะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทาง เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก อยู่ในทุกวันนี้ ให้หมดเกลี้ยงไปจากแผ่นดินไทย-แผ่นดินทอง จะโดยอาศัย ศรัทธา แบบอิสลาม หรืออาศัย ปัญญา แบบพุทธศาสนาก็ตามที.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทำไม่ดีก็ยังไม่ได้...ผลที่ได้เลยยังไม่ดี

การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก เริ่มต้นตั้งแต่การกำหนดวิธีเลือกที่หลายคนติดตามแล้วรู้สึกสับสน เข้าใจยาก

รักในอาชีพตำรวจ

หลังนายกฯ เศรษฐา สะบัดปากกาส่ง บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กลับคืน "กรมปทุมวัน" ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ

คู่มือสำหรับกลุ่มคนที่กำลังรับเกณฑ์บวกจากพระเสาร์จร(ตอนที่1)

บทความสามตอนที่ผ่านมา ได้เขียนถึงกลุ่มคนที่กำลังได้รับเกณฑ์-รัศมีด้านลบเต็มที่จากพระเสาร์จร(7)หัวหน้าดาวร้าย- เทพเจ้าแห่งความระทม- ตัวโ

ปุ่มเอ๊ะ...ปุ่มโอ๊ย...ออกอาการ

รัฐบาลมีความพยายามที่จะระบายข้าวที่ตกค้างอยู่เป็นเวลา 10 ปี โดยมีการกินข้าวโชว์ว่า ข้าวค้างเก่า 10 ปียังเป็นข้าวคุณภาพดี ไม่ใช่ข้าวเน่า และยังมีคุณค่าทางโภชนาการ

อนุสติจากการดู'บอลยูโร'

แม้ว่าโดย วัย และ สังขาร ออกจะเป็นอะไรที่ งอมม์ม์ม์ เต็มที แต่นอกจากยังพอมีโอกาสได้ดู บอลโลก คราวล่าสุด มาถึง ณ บัดนี้...ยังแถมได้เจริญหู เจริญตา เจริญใจ

เก้าอี้ 'ผบ.ตร.' เปิดกว้าง

หลังนายกฯ เศรษฐา สะบัดปากกาส่ง บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กลับคืน "กรมปทุมวัน" ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ