ผมอ่านแถลงการณ์ร่วมของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ของพม่า กับนายกฯ ฮุน เซน ของกัมพูชา ที่ออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจากกรุงเนปยีดอว์แล้วก็เห็นตรงกับคำหนึ่งที่ใช้ในเอกสารนั้นว่าเป็น Win-Win สำหรับทั้ง 2 ผู้นำ
แต่สำหรับคนพม่าเองนั้นอาจจะเป็น Lose-Lose
คือเป็นความพ่ายแพ้ของการต่อสู้ของประชาชนและของหลักการประชาธิปไตยก็ได้
สำหรับอาเซียนและประเทศไทยแล้ว ผลการพบปะระหว่าง 2 ผู้นำนี้ยังต้องประเมินว่าเป็นชัยชนะของใครกันแน่
ผมถือว่ายังเป็นเรื่อง Wait and Watch นั่นคือต้องรอดูว่าผลทางปฏิบัติจะไปทางไหน
ไม่ใช่แค่ Wait and See คือนั่งรอดูผลเฉยๆ
ที่ว่าอาเซียนและประชาคมโลกต้อง Wait and Watch คือรอไปด้วยเฝ้ามองไปด้วยนั้น ก็เพราะแม้ถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมจะฟังดูสวยงามในหลายประโยค แต่ก็มีเงื่อนไขที่แฝงไว้ระหว่างบรรทัดหลายประเด็น
เริ่มด้วยประเด็นที่ มิน อ่อง หล่าย บอกว่า คำประกาศสงบศึกชั่วคราว (ceasefire) 5 เดือนกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ หรือ EAOs (Ethnic Armed Organizations) จะหมดลงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
ในแถลงการณ์นี้เขาบอกว่าจะขยายเวลาไปถึงสิ้นปีนี้
โดยที่ มิน อ่อง หล่าย “เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับการหยุดยิงชั่วคราว เพื่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนด้วยการยุติความรุนแรงและใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่...”
นายกฯ ฮุน เซน ประกาศสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อลดความตึงเครียด และเปิดทางให้มีการเจรจาระหว่าง “ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด” เพื่อหาทางบรรลุสันติภาพและการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน”
ประโยคต่อไปในแถลงการณ์นี้ที่น่าสนใจคือ มิน อ่อง หล่าย บอกว่า ยินดีที่จะให้ “ทูตพิเศษของประธานอาเซียน” มาร่วมการเจรจาหยุดยิงกับเหล่าบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธทั้งหลาย
ทูตพิเศษที่ว่านี้คือ “ปรัก สุคน” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ อีกประโยคที่อ้างว่า “นี่คือก้าวสำคัญที่ระบุไว้ในฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน”
ที่เป็นตลกร้ายก็คือ วันเดียวกันกับที่มีการออกแถลงการณ์เรื่อง “หยุดยิงชั่วคราว” ที่กรุงเนปยีดอว์นั้นก็มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงในเขตชายแดนพม่า ตรงข้ามกับแม่ฮ่องสอนของไทย
และการสู้รบกันตรงข้ามชายแดนอำเภอแม่สอด, จังหวัดตาก ก็ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด
รวมถึงการใช้เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายกองทัพพม่าถล่มใส่กลุ่มชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจว่าจะไปโดนเด็ก, คนแก่และผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนข้ามมาขอหลบภัยสงครามทางฝั่งไทย
ในแถลงการณ์ฉบับเดียวกันก็พูดถึงการเรียกประชุม “ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลาย” เพื่อพิจารณาการส่งมอบความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติเข้าพม่า
กรณีนี้ก็ระบุให้ทูตพิเศษอาเซียนคนเดียวกันนี้มาร่วมในกระบวนการวางแผนด้วย
ที่จะเชิญมาร่วมพูดจากันในประเด็นนี้ รวมถึงเลขาธิการอาเซียน, ตัวแทนของศูนย์ช่วยเหลือมนุษยธรรมและการบริหารภัยพิบัติ (ASEAN Humanitarian Assistance and Disaster Management Center หรือ AHA)
รวมถึงหน่วยงานเฉพาะกิจด้านนี้ของพม่าเอง
โดยมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่าน AHA ของอาเซียนและกาชาดพม่า
รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ
ผู้นำทั้ง 2 ตระหนักในความสำคัญของการจัดตั้งกลไกและสิ่งอำนวยความสะดวกอันเหมาะสมสำหรับโครงการวัคซีน และความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพให้ถึงประชาชนที่กำลังรออยู่
เน้นด้วยว่าจะต้องเป็นระบบที่ “ไม่เลือกปฏิบัติ”
เพราะ “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาชีวิตของประชาชน”
ถ้อยคำสวยหรูมาก แต่คำถามใหญ่ก็คือว่า องค์กรระหว่างประเทศและอาเซียนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวัคซีนและความช่วยเหลือต่างๆ นั้นจะไปถึงประชาชนที่อยู่คนละข้างกับรัฐบาลทหารพม่า
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ และกำลังต้องหลบหนีการปราบปรามของรัฐบาลทหารพม่าอย่างโหดเหี้ยมในหลายๆ กรณี
เรื่องการส่งความช่วยเหลือเข้าพม่าเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อน
มีหลายหน่วยงานระหว่างประเทศต้องการจะส่งความช่วยเหลือเหล่านี้เข้าไปพม่าผ่านชายแดนฝั่งไทยโดยไม่ต้องส่งไปยังศูนย์กลางรัฐบาลที่เนปยีดอว์ก่อน
เพราะคนพม่าที่รอความช่วยเหลือตรงบริเวณชายแดนนั้นมีจำนวนมาก แต่รัฐบาลกลางของ มิน อ่อง หล่าย มีความระแวงและไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของคนพม่าที่รัฐบาลทหารถือเป็นศัตรู
นี่คือความยุ่งยากสลับซับซ้อนของการหาทางออกจากวิกฤตของเมียนมา
ที่ไม่ว่าจะเขียนในแถลงการณ์ให้ฟังดูดีงามอย่างไร แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังไม่มีใครไว้ใจว่า มิน อ่อง หล่าย จะทำตามที่สัญญาไว้ว่าจะ “ไม่เลือกปฏิบัติ”
(พรุ่งนี้ : ทูตพิเศษอาเซียนจะได้พบกับ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย” ได้จริงหรือ?)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ