ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
หรือหากพิธีกรถามถึงเรื่องเอเชียก็จะเป็นประเด็นทะเลจีนใต้, เกาหลีเหนือและไต้หวัน
เรื่องราวที่เกี่ยวกับเราโดยตรงจะมีน้อยมาก
เพราะการเมืองสหรัฐฯ มุ่งเรื่องผลประโยชน์ในประเทศของเขามากกว่า
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกสนใจการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ
เพราะยิ่งเขาไม่สนใจเรา ไม่รู้จักเรา และไม่แคร์เรา เราก็ยิ่งต้องทำความเข้าใจว่าผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนที่สหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อเอเชียอย่างไร
ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์ไม่รู้จักและไม่สนใจอาเซียน...ยกเว้นประเด็นว่าประเทศไหนมีดุลการค้าได้เปรียบสหรัฐฯ
นั่นคือประเด็นหลักของเขา เพราะทรัมป์ต้องการจะ Make America Great Again ประเทศอื่นเป็นรายละเอียดปลีกย่อย
ไบเดนอาจจะรู้จักเอเชียมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็คงไม่ให้ได้ความสำคัญเท่ากับเรื่องสงครามยูเครน, กาซา, ไต้หวัน, เกาหลีเหนือและอิหร่าน
แต่ไม่ว่าทั้งสองคนจะสนใจเอเชียมากน้อยเพียงใด ผลการเลือกตั้งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเอเชียอย่างแน่นอน
ที่สำคัญคืออย่างน้อยบนกระดาษ ไบเดนและทรัมป์นำเสนอวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างมากสำหรับบทบาทของอเมริกาบนเวทีโลก
และมีนโยบายที่แปลกแยกจากกันในประเด็นเรื่องการจัดการการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมไปถึงนโยบายต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาเทคโนโลยี
เอาเฉพาะเรื่องท่าทีต่อย่านอินโดแปซิฟิกและเรื่องบทบาทสหรัฐฯ ใน Quad
อันหมายถึงพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย
ซึ่งต้องถือว่าเป็นเวทีกลางสำหรับความร่วมมือในระดับภูมิภาคของเอเชีย
Nikkei Asia ตั้งคำถามว่าตอนที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีนั้น เขามีแนวทางเรื่องนี้อย่างไร?
มีคำตอบว่าทีมงานของทรัมป์มักจะชูประเด็นว่าทรัมป์ชอบอวดอ้างผลงานที่จับมือกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นในขณะนั้น
และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฟื้นคืนชีพให้กับ Quad
ความจริง กลุ่ม Quad นั้นก่อตั้งขึ้นโดยฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
โดยมีเป้าหมายให้เป็นกลไกเฉพาะกิจในการประสานงานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติสำหรับเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ปี 2004
ตอนนั้น อาเบะระบุว่าทั้งสี่ประเทศเป็นหุ้นส่วนที่มีศักยภาพใน "อินโดแปซิฟิก"
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใหญ่กว่า "เอเชียแปซิฟิก" ที่เป็นชื่อเดิม
ดังนั้นจาก Asia-Pacific ก็เปลี่ยนเป็น Indo-Pacific
ด้วยการขยายความเพื่อรวมอินเดียเข้ามาร่วมในความร่วมมือนี้ด้วย
หลังจากนั้นก็มีการผลักดันให้มีการประชุมและการซ้อมรบทางเรือ
แต่ Quad ก็ลดความเข้มข้นลงหลังจากจีนแสดงความไม่พอใจต่อ “การรวมหัวของก๊วนตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงถึงเอเชีย”
พอทรัมป์เข้านั่งทำเนียบขาวก็มักจะวนเวียนไปหาอาเบะ นัยว่าเพื่อไปปรึกษาหารือเรื่องนโยบายต่างประเทศ
คุยไปคุยมาก็ตกลงในเดือนพฤศจิกายน 2017 ว่าจะฟื้นฟู Quad อีกครั้งหลังจากที่ถูกแช่แข็งมานับทศวรรษ
โดยมีเจ้าหน้าที่จากสี่ประเทศมารวมตัวกันนอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียนในกรุงมะนิลา
แล้วไบเดนล่ะ เขาทำอะไรเกี่ยวกับ Quad?
ทำเนียบขาวของไบเดนเดินหน้าด้วยการออก “สมุดปกขาว” ว่าด้วยยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
ซึ่งระบุว่า Quad เป็น "การจัดกลุ่มระดับภูมิภาคชั้นนำ" และในเอกสารนั้นมีการเอ่ยถึง Indo-Pacific ถึง 13 ครั้ง
The Quad จัดการประชุมสุดยอดผู้นำออนไลน์ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2021
และเจอกับตัวเป็นๆ ที่วอชิงตันในช่วงเดือนกันยายนปีนั้น
นับตั้งแต่นั้นมา ประเทศต่างๆ ก็ได้ตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดแบบหมุนเวียน ตามลำดับของญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย
แต่ Quad ก็เจออาถรรพ์ทางการเมือง
การประชุมสุดยอดออสเตรเลียปี 2023 ถูกยกเลิกเพราะไบเดนต้องเร่งรีบเดินทางกลับวอชิงตันหลังจากการประชุมสุดยอดฮิโรชิมาของกลุ่มประเทศ G-7
เพราะเกิดวิกฤตด้านงบประมาณ ฟาดฟันระหว่างทำเนียบขาวกับพรรครีพับบลิกันในรัฐสภา
แผนการประชุมสุดยอดปี 2024 ก็ยังไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอินเดียตามคิวเดิม
เพราะมีการเลือกตั้งทั้งในสหรัฐฯ และอินเดีย
คำถามใหญ่ก็คือว่า ทรัมป์กับไบเดนจะแสดงความสนใจใน Quad แค่ไหนในการนำเสนอนโยบายต่อสาธารณชน
ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นหัวข้อสำคัญ
แต่ก็อาจจะมีการกล่าวถึงโดยสองผู้สมัครเพื่อจะยืนยันว่าอเมริกายังเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย
อย่างน้อยก็เพื่อจะแสดงให้คนอเมริกันเห็นว่าหากเลือกเขา สหรัฐฯ จะไม่ยอมถอยจากเอเชีย
เพราะไม่ต้องการให้จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ในแง่ของอิทธิพลระดับโลก
แต่ Quad จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของนโยบายต่างประเทศของทั้งสองค่าย
เรื่องใหญ่น่าจะเป็นนโยบายที่จะเปิดสงครามการค้ากับจีน
ทั้งไบเดนและทรัมป์คงต้องการจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนอย่างเต็มที่ในการหาเสียง
ถึงขั้นเกทับกันว่าใครจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเข้าสหรัฐฯ มากกว่ากัน
สี จิ้นผิง คงจะนั่งเฝ้าดูการดีเบตจากปักกิ่งด้วยความสนใจไม่น้อยไปกว่าผู้นำรัสเซียอย่างปูติน และหัวหน้าใหญ่ของเกาหลีเหนืออย่างคิม จองอึน
เพราะการต้องบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ภายใต้ไบเดนกับทรัมป์นั้น สำหรับสามประเทศนี้แล้วก็ต้องมีการปรับยุทธศาสตร์และท่าทีกันครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ส่วนประเทศไทยจะต้องตระเตรียมอะไรอย่างไร คงเป็นหัวข้อที่เราต้องแกะรอยและวิเคราะห์กันต่อเนื่องจากนี้ไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ