เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2021 แอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนอาเซียน กล่าวสุนทรพจน์นโยบายสหรัฐต่ออาเซียนและอินโด-แปซิฟิก ย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญต่ออินโด-แปซิฟิกเพราะมีขนาดเศรษฐกิจถึง 60% ของโลก เป็นภูมิภาคที่โตเร็วที่สุดในขณะนี้ 5 ปีที่ผ่านมา 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกที่โตขึ้นมาจากที่นี่ ครอบคลุมประชากรครึ่งโลก
สหรัฐมีประวัติศาสตร์ร่วมและเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ คู่ค้าครึ่งหนึ่งอยู่ที่นี่ สินค้าสหรัฐเกือบ 1 ใน 3 ส่งมาขายที่นี่ หวังร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อสันติภาพ ความมั่นคง ภูมิภาคที่เปิดกว้างและเสรีกว่าเดิม กำหนดแนวทางทำงานร่วมกับภูมิภาคนี้ใน 5 ด้านประเด็นสำคัญ ได้แก่
ประการแรก อินโด-แปซิฟิกเปิดกว้างและเสรีกว่าเดิม
กำหนดนิยามชัดเจนว่าเปิดกว้างและเสรีหมายถึงอย่างไร โดยทั่วไปคือ สามารถเขียน พูด แสดงออก ไม่ว่าคุณคือใครหรือคิดอย่างไร เปิดรับความคิดข้อมูลใหม่จากต่างถิ่นต่างวัฒนธรรม เปิดให้วิพากษ์และเริ่มสิ่งใหม่ๆ ตั้งแต่ระดับปัจเจก ประเทศสามารถเลือกทางเดินและมิตรของตนเอง
หวังให้ปัญหาในภูมิภาคถูกจัดการโดยเปิดกว้างตามกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสยุติธรรม สินค้าและประชาชนจะต้องสามารถขนส่งเดินทางข้ามประเทศได้โดยเสรี รวมถึงไซเบอร์สเปซ ทะเลหลวง
ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน สนับสนุนองค์กรตรวจสอบ นักข่าวที่มุ่งเสนอข่าวแบบเจาะลึก (ที่ไม่ได้อยู่ในอเมริกา)
วิเคราะห์: เรื่องส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ต่อต้านคอร์รัปชัน สนับสนุนนักข่าว ฯลฯ เป็นแนวทางที่ประธานาธิบดีไบเดนประกาศในการประชุมสุดยอดประชาธิปไตย (Summit for Democracy) รัฐบาลสหรัฐตั้งงบประมาณอุดหนุนและช่วยเหลือด้านอื่นๆ
รัฐบาลสหรัฐจะต่อต้านบรรดาผู้นำประเทศที่ไม่เคารพสิทธิประชาชนของพวกเขา ดังเช่นกรณีเมียนมา (Burma) สหรัฐจะร่วมกับพันธมิตรกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา นำเมียนมากลับมาสู่เส้นทางประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่ใช่การล้มล้างรัฐบาลประเทศใด เป็นการปกป้องให้ทุกประเทศเลือกเส้นทางของตนเอง ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีน
พร้อมกันนี้จะสนับสนุนสื่อสารออนไลน์เสรี ต่อต้านผู้พยายามกีดกันออนไลน์เสรี วางระบบร่วมกับประเทศต่างๆ รวมถึงการพัฒนาเครือข่าย 5G 6G
เป้าหมายสุดท้ายคือ สร้างกติการ่วมเพื่อให้ภูมิภาคเปิดกว้างและเสรี ตรงข้ามกับจีนที่บิดเบือนตลาดเสรี อุดหนุนรัฐวิสาหกิจ
วิเคราะห์: เป้าหมายขั้นสุดท้ายที่ว่านี้ตีความได้ว่าคือการจัดระเบียบภูมิภาคของรัฐบาลสหรัฐนั่นเอง ที่มาจากการหารือร่วม ไม่ยึดแนวทางอาเซียนเป็นแกนกลางตามที่อาเซียนต้องการ
รัฐมนตรีบลิงเคนเยือนอาเซียน ตอกย้ำส่งเสริมเสรีประชาธิปไตยต่างแดนแบบลงลึกถึงองค์กร หน่วยงาน สื่อ จนถึงระดับปัจเจก เร่งพัวพันอาเซียนทุกด้านทุกมิติ.
ประการที่ 2 สัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
จะกระชับพันธมิตรญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์และไทย ตามสนธิสัญญา (ที่มีอยู่เดิม) จะพยายามรวมพันธมิตรเหล่านี้เข้าด้วยกัน
ยึดมั่นความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN centrality) ในความหมายจะร่วมมือด้วยโดยพิจารณาทั้งวิสัยทัศน์ของอาเซียนกับสหรัฐ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเชิญผู้นำอาเซียนไปประชุมสุดยอดกับผู้นำอเมริกาเพื่อกระชับความสัมพันธ์และทำงานร่วมกัน
ท้ายที่สุดตั้งเป้าสร้างระบบพันธมิตรหุ้นส่วนที่เชื่อมโยงอินโด-แปซิฟิกเข้ากับภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป ทั้งอียูกับนาโตต่างมียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคนี้โดยตรง
วิพากษ์: พันธมิตรทางทหารระหว่างสหรัฐ-อังกฤษ-ออสเตรเลีย หรือ AUKUS ที่เริ่มเมื่อกลางเดือนกันยายนเป็นตัวอย่างดึงอังกฤษที่ไม่ใช่ประเทศในภูมิภาคเข้ามาในอินโด-แปซิฟิก มีข้อมูลหลายชิ้นชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐหวังสร้างพันธมิตรความมั่นคงในย่านนี้ตามแบบพันธมิตรนาโต (NATO) แม้ความเป็นไปได้ต่ำแต่เป็นแนวคิดหนึ่งที่มีอยู่ การเชื่อมโยงเหล่านี้เป็นภาพระดับโลกของอเมริกา
ประการที่ 3 เพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
สหรัฐได้ลงทุนกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในภูมิภาคนี้และมีเสียงเรียกร้องให้ลงทุนเพิ่มอีก รัฐบาลไบเดนมีแผนวางกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific economic framework) ที่ครอบคลุมเศรษฐกิจทุกประเภท สนับสนุนให้บริษัทเอกชนมาลงทุนที่นี่ ทั้งนี้กระทำโดยยึดค่านิยมของสหรัฐ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ผู้อื่นก็จะทำโดยค่านิยมของเขา ให้เป็นการค้าที่ยุติธรรมและฟื้นฟู (fair and resilient trade) สนับสนุน ASEAN Single Window ดูแลห่วงโซ่อุปทานที่ตอนนี้ต่างให้ความสำคัญเมื่อหน้ากากอนามัยกับไมโครชิปขาดตลาด
วิพากษ์: RCEP เป็นตัวอย่างที่สหรัฐไม่เข้าร่วมด้วยเหตุผลไม่เข้ามาตรฐานของตน (สังเกตว่าเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลียที่เป็นพันธมิตรสหรัฐเข้า RCEP) และควรศึกษาว่า fair and resilient trade ของไบเดนจะเหมือนหรือต่างจากสมัยทรัมป์ ดังที่รัฐบาลทรัมป์ขู่คว่ำบาตรทุกประเทศที่เกินดุลตน
สหรัฐสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะท่าเรือ ถนนหนทาง ระบบสายส่งไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต เหล่านี้เป็นระบบพื้นฐานของการค้าโลก เป็นโอกาสและความเจริญรุ่งเรือง รัฐบาลสหรัฐได้ยินเสียงจากภูมิภาคว่าโครงการไม่โปร่งใส มีการทุจริต สร้างจากบริษัทต่างชาติที่ใช้คนงานของตน กอบโกยทรัพยากร ทำลายสิ่งแวดล้อมและทำให้เป็นหนี้เป็นสิน
หลายประเทศอยากได้โครงการดีมีคุณภาพกว่านี้แต่เนื่องจากมูลค่าสูงเกินไปและเจอแรงกดดัน จึงต้องรับโครงการต่างชาติด้วยข้อตกลงที่เสียเปรียบ สหรัฐจะร่วมมือเพื่อสร้างโครงการคุณภาพสูงและตอนนี้กำลังทำอยู่
ล่าสุดสหรัฐ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นร่วมกันสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาค กลุ่ม Quad ตั้งงบสนับสนุนการเงินเพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศต่างๆ ถึง 48,000 ล้านดอลลาร์ และกำลังหาหุ้นส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติม อีกไม่นานรัฐบาลสหรัฐจะนำ G7 เข้ามาลงทุนภูมิภาคนี้อีกมาก
ประการที่ 4 ฟื้นฟูอินโด-แปซิฟิก (resilient Indo-Pacific)
สหรัฐได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 กว่า 300 ล้านโดสแก่ภูมิภาค ปีหน้าตั้งเป้าจะบริจาคให้โลกอีก 1,200 ล้านโดส จัดสรรงบประมาณช่วยเหลืออีก 2,800 ล้านดอลลาร์ด้วยน้ำใสจริงใจ ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และกำลังร่วมมือกับพันธมิตรโดยเฉพาะกลุ่ม Quad ในเรื่องนี้ ส่งเสริมเอกชนร่วมมือกันในนาม Global COVID Corps เพื่อสนับสนุนข้อมูลวิชาการ เครื่องมือ ระบบขนส่งวัคซีนแก่ประเทศกำลังพัฒนา
ในการสู้กับไวรัสจะรวมถึงการพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สามารถป้องกัน ตรวจจับและตอบสนองสถานการณ์ได้ดีกว่าเดิม โครงการ U.S.-ASEAN Health Futures Initiative ตั้งงบประมาณช่วยเหลือ 40 ล้านดอลลาร์ เปิดสำนักงาน U.S. Centers for Disease Control and Prevention ที่ฮานอย
ร่วมกันแก้วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในโครงการ U.S.-ASEAN Climate Futures initiative ส่งเสริมพลังงานสะอาดที่จะช่วยสร้างงานอีกมาก
ประการที่ 5 ส่งเสริมความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก
รวมถึงภัยที่คุกคามประชาชนโดยตรง เช่น ความรุนแรงจากลัทธิสุดโต่ง การประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ใช้ยุทธศาสตร์ประสานเครื่องมือทุกด้านไม่ว่าจะการทูต การทหาร ข่าวกรอง
การพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นคือหนทางรักษาสันติภาพ รัฐบาลสหรัฐยึดแนวทางนี้เรื่อยมา สหรัฐไม่ต้องการความขัดแย้ง จึงดำเนินการทางการทูตอย่างจริงจังกับเกาหลีเหนือ เป้าหมายสุดท้ายคือให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์ และจะให้ความสำคัญกับทุกเรื่องร้ายแรงก่อนกลายเป็นหายนะ ดังที่อดีตประธานาธิบดีเคนเนดีกล่าวว่า “เป้าหมายพื้นฐานของเรายังคงเดิม คือ โลกแห่งสันติ ประชาคมของรัฐที่เสรีและเป็นไท เสรีที่จะเลือกอนาคตของตนกับระบอบของตน ตราบเท่าที่ไม่คุกคามเสรีภาพของประเทศอื่น”
วิเคราะห์: อาจตีความว่าประธานาธิบดีเคนเนดีกล่าวอย่างแหลมคมว่า ทุกชาติสามารถเลือกทางของตนเอง ตราบเท่าที่เส้นทางที่เลือกไม่คุกคามสหรัฐและสหรัฐได้สิ่งที่ตนต้องการ ดังนั้นก่อนตัดสินใจควรรอบคอบและรู้ว่าควรทำอย่างไร.
--------------------------
ภาพ: แอนโทนี บลิงเคน ขณะกล่าวสุนทรพจน์ที่อินโดนีเซีย
เครดิตที่มาภาพ: https://www.state.gov/a-free-and-open-indo-pacific/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
2024สงครามกลางเมืองซีเรียระอุอีกครั้ง
สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 14 ปียังไม่จบ สาเหตุหนึ่งเพราะมีรัฐบาลต่างชาติสนับสนุนฝ่ายต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้าย HTS เป็นปรากฏการณ์ล่าสุด
ฮิซบุลเลาะห์-อิสราเอลจากเริ่มรบสู่หยุดยิง
ถ้าคิดแบบฝ่ายขวา อิสราเอลที่หวังกวาดล้างฮิซบุลเลาะห์ การสงบศึกตอนนี้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ และฮิซบุลเลาะห์กำลังเปลี่ยนจุดยืนหรือ
เส้นทางสายไหมตะวันออกแห่งศตวรรษที่21
BRI จะเป็นแค่การพัฒนาร่วมหรือเป็นยุทธศาสตร์ครองโลกของจีนเป็นที่ถกแถลงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนานาชาติเฝ้าติดตาม จริงหรือเท็จกาลเวลาจะให้คำตอบ