
ถ้าจำไม่ผิด นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคยไปนั่งคุยกับนักศึกษาไทยที่อเมริกาและไปชักชวนให้กลับมา “ช่วยชาติ”
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยจะไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังอะไร
เพราะไม่มีมาตรการอะไรที่จะดึงให้เด็กไทยเก่ง ๆ ที่เรียนวิชาที่ทันกับความเปลี่ยนแปลงมากมายให้อยากกลับมาทำงานในบ้าน
มิหนำซ้ำยังมีคนรุ่นใหม่อีกจำนวนหนึ่งในประเทศที่คิดจะ “ย้ายประเทศ” เพราะมองไม่เห็นโอกาสที่จะสร้างอนาคตของตนอย่างที่ตนอยากเห็น หรือที่อยากให้ลูกของตนเองได้เติบโตขึ้นมาในบรรยากาศที่เอื้อต่อความฝันของตน
วันก่อน ผมอ่านบทความเรื่องนี้ใน “บีบีซีภาคภาษาไทย” ภายใต้คำถามที่ว่า
“พวกท็อป ๆ อยู่ต่างประเทศหมดเลย”: ทำไมนักเรียน ป.เอก ไม่อยากกลับบ้าน ?
คำให้สัมภาษณ์ของหลาย ๆ คนสรุปเหมือนกับที่เราเคยรับรู้ว่ายาวนานว่า
ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องค่าตอบแทนเท่านั้นที่ทำให้บุคลากรระดับ “ครีม” ของประเทศที่ไปร่ำเรียนในต่างประเทศไม่อยากกลับไทย
แต่ “ระบบ” ที่เป็นปัญหาคาราคาซังมาหลายทศวรรษคือเงื่อนสำคัญที่ทำให้พวกเขาและเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์ “สมองไหล”
อาจารย์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตวา
“เด็กเก่งแบบสุด ๆ เลยนะ ที่ 1-20 [ของประเทศ] ยกตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์โอลิมปิค พวกท็อป ๆ อยู่ต่างประเทศหมดเลย”
กลายเป็นว่าสำหรับหลายคนการกลับประเทศกลายเป็น “ทางเลือกสุดท้าย”
อีกคนหนึ่งเล่าว่า แรกเริ่มค่อนข้างชัดเจนกับเส้นทางอาชีพของตนเองมาตั้งแต่ช่วงที่ศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย ตอนแรกวางแผนว่าเมื่อมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทจนจบก็จะกลับมาสอนที่ไทยทันที
แต่เมื่อเรียนระดับปริญญาโทจบจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเยอรมันนี ก็ได้รับข้อเสนอให้ศึกษาต่อระดับปริญญาเอก
“พอเรามาอยู่ที่นี่ มันต่างกันมาก ๆ มีโอกาสเยอะมาก กลายเป็นว่าการกลับไทยเราปัดไปเป็นชอยส์สุดท้ายเลย” เขาบอกบีบีซีไทย
ประเด็นรายได้เป็นปัจจัยแน่ แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นที่ทำให้คนไทยเก่ง ๆ ไม่กลับบ้านคือ “ระบบ”
หนึ่งในนักศึกษาที่เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์บอกว่านโยบายด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐไทยไม่มีทิศทางชัดเจนเลย
งานวิจัย “ขึ้นหิ้ง” สำหรับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน และ “ขึ้นห้าง” สำหรับวิทยาศาสตร์ประยุกต์
คนที่กลับมาก่อนเตือนคนที่ยังไม่กลับมาว่าพอต้องกลับมาในระบบจริง ๆ ว่ามันไม่คุ้ม
บางคนบอกบีบีซีไทยว่า “เราโดนเตือนมาตลอดว่าให้หาทางไปต่อ… อย่ากลับมา”
“ผู้ใหญ่ก็จะเลือกสนับสนุนงานวิจัยขึ้นห้างเป็นหลัก แล้วงานวิจัยขึ้นหิ้ง คืองานประเภทสายทฤษฎี จะได้รับการสนับสนุนที่น้อยมาก ๆ เพราะผู้ใหญ่เขามองไม่เห็นว่าเราเรียนไปทำไม”
แต่บางคนก็บอกว่าอยู่เมืองนอกได้ “เปิดหูเปิดตา” ในระดับสากล จึงอยากเอาความรู้กลับไปพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ในไทย “เพราะเรามั่นใจว่าเรามีเด็กที่สนใจวิทยาศาสตร์อยู่เยอะ และเราอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ตรงนี้”
แต่ก็ได้รับคำเตือนจากรุ่นพี่ว่าหากกลับบ้านจะไม่คุ้มทั้งเรื่องค่าตอบแทนและไม่มีโอกาสได้ “ปล่อยของ” ที่แต่ละคนสู้ไปร่ำเรียนมาจากสถานศึกษาระดับโลกและอาจารย์ระดับหัวกะทิ
ความจริง ปัญหาที่ทำให้ “สมองไหล” อย่างต่อเนื่องนอกจากเรื่องรายได้และระบบราชการแล้ว ก็ยังมีประเด็นเรื่องคุณชีวิตด้านบรรยากาศการถกแถลงประเด็นการบ้านการเมือง
คนที่อยู่ในบรรยากาศที่เสรีและเอาจริงเอาจังกับมาตรฐานจริยธรรมและความยุติธรรมของสังคมหากกลับมาเจอกับสภาวะสังคมไทยที่ยังมีเรื่องของการเล่นเส้นสายและระบบอุปถัมภ์อย่างที่เห็นอยู่ ก็จะมีความรู้สึกอึดอัด
หลายคนที่ไม่กลับไทยเพราะไม่ต้องการให้ลูกกลับมาเรียนหนังสือในบรรยากาศแบบไทย ๆ ที่เป็นอยู่
เมื่อได้ประสบการณ์ของการใช้ชีวิตที่เน้นการแข่งขันบนพื้นฐานของความรู้ความสามารถและการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในสังคมข้างนอกแล้ว, การจะกลับเมืองไทยก็กังวลว่าลูกของตนเองจะต้องเติบโตในบรรยากาศที่สะท้อนถึงความล้าสมัยทางความคิดและความเชื่อในมาตรฐานของความถูกต้อง
ยิ่งการเมืองบ้านเราวันนี้เป็นอย่างที่เห็น แนวทางการบริหารประเทศที่ยังติดยึดอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม คนที่ไปเรียนเมืองนอกและสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเองย่อมจะไม่อาจจะปรับตัวกลับเข้ากับสภาพสังคมไทย
เราอาจจะชักชวนชาวต่างชาติมาเที่ยวและลงทุนในไทยด้วยการระบุถึงร้อยยิ้มของคนไทย, อาหารไทยที่อร่อยและความธรรมชาติที่สวยงาม ตลอดจนค่าครองชีพที่ยังต่ำกว่าหลาย ๆ ประเทศ
แต่ปัจจัยด้านบวกเหล่านี้จะถูกเปรียบเทียบกับปัจจัยลบของสังคมไทยเช่นเรื่องคอร์รัปชั่น, การขาดวินัยของคนไทย, และการไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
รวมไปถึงการเลือกใช้กฎหมายกับคนบางคนบางกลุ่มไม่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ซึ่งกลายเป็นรอยด่างที่ฝังแน่นในสังคมไทย
คนไทยที่ไปร่ำเรียนหนังสือต่างประเทศส่วนใหญ่ก็คงอยากจะกลับมา “ใช้ชีวิตสบาย ๆ” ที่บ้าน แต่คำว่า “สบาย ๆ” นั้นบ่อยครั้งก็จะถูกเปรียบเทียบกับคำว่า “คุณภาพชีวิต” ด้านสติปัญญาและความศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน
ท้ายสุดวันนี้ เราก็ยังไม่เห็นรัฐบาลทำอะไรจริงจังกับการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยที่เก่ง ๆ ในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วโลกกลับมาช่วยกันสร้างชาติบ้านเมืองกันอย่างเป็นรูปธรรมเลย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

