
ฟังนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ปราศรัยต่างประเทศครั้งล่าสุดที่ฮ่องกงแล้วคนไทยก็น่าจะมีความฮึกเหิมทะเยอทะยานอย่างสูง
แต่ถ้าประเมินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น, กลาง, ยาวที่ออกมาจากการประชุมนัดพิเศษของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก็จะเห็นความย้อนแย้งอย่างชัดเจน
พอแถลงข่าวก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
กลายเป็นว่าเป็นการมา “ระดมสมอง” ของบรรดารัฐมนตรีที่ไม่มีแผนอะไรชัดเจนมานำเสนอ
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ ให้รองนายกฯ พิชัย ชุณหวัชร บรรยายสรุปตัวเลขเศรษฐกิจว่าโตต่ำมากี่ปี ล่าสุด ไตรมาส 3 โตเท่าไหร่ อำนาจซื้อถดถอยอย่างไร การผลิตยังต่ำ และการลงทุนยังน้อย ส่งออกมีปัญหาและการท่องเที่ยวแม้จะฟื้น แต่ก็เข้าสู่ฤดูฝน
เป็นข้อมูลที่รัฐมนตรีทุกคนที่เข้าประชุมจะต้องศึกษาและเข้าใจถ่องแท้มาก่อนเข้าประชุมแล้ว
แต่เหมือนจะเป็นการให้เข้าห้องเรียน ให้อาจารย์เศรษฐศาสตร์ติววิชาเบื้องต้น
คำสั่งที่ออกมาก็เป็นเรื่องงานประจำ เช่น ให้เร่งเบิกใช้งบประมาณ ซึ่งเป็นหน้าที่ประจำของทุกกระทรวงทบวงกรม
แต่ก็ต้องมา “กำชับ” กันเหมือนเด็กๆ
หรือที่นายกฯ สั่งให้ไปหานักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางมาในช่วง low season หน้าฝน ซึ่งเป็นงานโดยหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
แม้เรื่องจะเพิ่มงบ 50,000 ล้านให้ บสย.ปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องที่สามารถสั่งการได้โดยตรง
และต้องมีรายละเอียดมาวิเคราะห์ในที่ประชุมว่าที่บอกว่าจะให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอีรายใหม่นั้นจะให้ใช้วิธีการอย่างไรเพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเร็วและได้ผล
และการให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มขึ้นก็คงไม่ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
เพราะกว่าที่จะมีการสัมภาษณ์และคัดเลือกรายใหม่ก็ต้องใช้เวลา เพราะในท้ายที่สุดก็ต้องเลือกเฉพาะรายที่มีอนาคตและมีความสามารถในการบริหารให้ธุรกิจของตนลุล่วงไปได้
ที่น่าผิดหวังมากก็คือ นายกฯ บอกให้ทุกคนกลับไปศึกษาและวางแผนมาเสนอในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ทำไมต้อง 2 สัปดาห์?
หากนี่คือ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่รัฐบาลนี้ได้ป่าวประกาศไว้ตั้งแต่เข้ามาทำงานวันแรก ผ่านมา 10 เดือน พอเรียกประชุมพิเศษก็ยังเป็นเพียงการ “ระดมสมอง” และให้ทุกคนกลับไปคิดเสนอแผนในอีก 2 สัปดาห์
โดยไม่มีแนวทางอะไรชัดเจนจากที่ประชุม
มิหนำซ้ำยังมีความสับสนว่า ตกลงตอนนี้รัฐบาลมี “ครม. เศรษฐกิจ” หรือไม่มี
ตอนนายกฯ อยู่อิตาลี บอกว่าจะเรียกประชุม “ครม. เศรษฐกิจไม่เป็นทางการ”
พอกลับมาบอกว่าเป็นแค่การเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและเจ้าหน้าที่มาระดมความคิด
คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง บอกว่า ไม่มีการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เป็นเพียงการเชิญประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมาคุยกันเท่านั้น
ที่ไม่ตั้งเป็น ครม.เศรษฐกิจนั้น คุณจุลพันธ์บอกว่า “เพื่อความคล่องตัว”
ท้ายที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมาจากการประชุมรอบนั้น
และก็ยังไม่รู้ว่ารอบต่อๆ ไปจะเป็นในรูปแบบใด...เป็นการคุยกันรอบพิเศษ หรือเป็นรูป “คณะกรรมการ” หรือเป็น ครม.เศรษฐกิจ หรือเป็น “วอร์รูมเศรษฐกิจ” กันแน่
แต่ฟังนายกฯ ไปพูดที่ฮ่องกงแล้วก็มีภาพอันสวยหรูอลังการ
คนละเรื่องกับบรรยากาศในประเทศ
คุณเศรษฐาบอกว่าไทยพร้อมสำหรับการค้า การลงทุน และไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะดีที่สุดสำหรับการลงทุนในไทยเท่ากับช่วงเวลานี้แล้ว
นายกฯ เขียนข้อความขึ้น X ว่า
“ในการปาฐกถาที่งาน UBS Asian Investment Conference (AIC) ผมได้ส่งสัญญาณให้นักลงทุนทราบถึงความพร้อมของไทย ซึ่งตอนนี้เรากำลังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด และรัฐบาลมีนโยบายเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่ประเทศขาดการกระตุ้นเศรษฐกิจมานาน
เช่น Digital Wallet ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ พี่น้องประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปากได้โดยเร็ว
ในระยะยาว รัฐบาลสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม high-tech อย่าง Data Center, EV, Electronics, Semiconductor ควบคู่กับพัฒนาศักยภาพ ทักษะแรงงานไทย ทั้งกลุ่ม Software Developer วิศวกร และกลุ่มอื่นๆ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-Curve และพร้อมเป็นบ้านของสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของบริษัททางการเงิน ซึ่งเป็นด้านที่ไทยมีศักยภาพ
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Wisdom : An eye on the past, a view to the future” ว่าสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่นำภูมิปัญญา หรือ Wisdom จากประสบการณ์ในอดีต มาเป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทาย และกำหนดอนาคตของประเทศไทย โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตนี้
ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไทยผ่านพ้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซับซ้อน และสามารถคว้าโอกาสที่ช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนของการกำหนดนโยบาย เป้าหมายของรัฐบาล คือการสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยการส่งเสริมนวัตกรรม ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
โดยมีแนวทางในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลัง การปฏิรูปกฎระเบียบ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสาขาที่สำคัญ อาทิ ไทยปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น และปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ขจัดอุปสรรคด้านขั้นตอนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ รวมทั้งลดความซับซ้อนในการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติ พัฒนาระบบ Super License สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออก และการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า นโยบายทางการเงินการคลังที่สำคัญคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 ประเทศไทยมีการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 1.5% และคาดการณ์ทั้งปีจะอยู่ที่ 2-3% รัฐบาลจึงมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการเติบโตเศรษฐกิจของไทยให้สูงขึ้นผ่านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท (275 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้คนไทย 50 ล้านคน ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเงินกว่า 5 แสนล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย และจะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2-1.8%
และด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ เงินจะลงไปถึงชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจเล็กๆ ทำให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในระยะยาว นโยบายดังกล่าวจะวางรากฐานระบบการชำระเงินแบบบล็อกเชนทั่วประเทศ พร้อมด้วยการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และการลงทุนจากต่างประเทศที่มากขึ้น
“ขอเชิญชวนทุกคนร่วมการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมและการเติบโต เราเชื่อมั่นว่าจะทำให้ทุกฝ่ายสามารถสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน และครอบคลุมร่วม เพื่อประโยชน์และความสำเร็จร่วมกัน”
คนไทยในบ้านฟังแล้วคงจะมองซ้ายมองขวาเพื่อจะหาหลักฐานยืนยันว่าที่นายกฯ พูดที่ต่างประเทศนั้นหมายถึงประเทศเดียวกับที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้
เพราะยังไม่เห็นอะไรที่จับต้องได้หรือเห็นร่องรอยของ “ความฝันในคำปราศรัย” แต่อย่างใด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

