'สะพานเชื่อม'ระหว่างอดีตกับอนาคต

การส่งต่อ ส่งมอบคบไฟ จากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง จึงเป็นอะไรที่มีความสำคัญเอามากๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะในทาง การเมือง เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงด้านแนวคิด ทัศนคติ วัฒนธรรม-ประเพณี หรือค่านิยมทางสังคม ฯลฯ อีกด้วยต่างหาก ที่ต้องหาทางส่งต่อ ส่งมอบ หาทางเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน สำหรับคนในแต่ละยุค แต่ละรุ่น ถึงพอจะช่วยให้สังคมนั้นๆ มีโอกาสก้าวข้าม ระยะผ่าน ที่ไม่ว่าจะมีลักษณะออกไปในแนวไหน? ก็ตามที ได้อย่างแน่วแน่ มั่นคง ยั่งยืนและสถาพร โดยไม่ต้องเกิดความแตกหัก แตกสลาย ลงไปเสียก่อน...

ส่วนสิ่งที่จะช่วยให้การส่งต่อ ส่งมอบ เหล่านี้ มีความเป็นไปได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง ว่าไปแล้ว...มันคงไม่ใช่แค่เรื่องแนวคิด แนวทาง เรื่องทฤษฎีทางการเมือง-เศรษฐกิจ ฯลฯ ที่ย่อมต้องผิดแผก แตกต่าง ไปตามเรื่องตามราวของใครก็ของมัน หรือไม่ใช่แค่เรื่องประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย เผด็จการ-ไม่เผด็จการแต่เพียงเท่านั้น เพราะถ้าหากพูดให้ลึกๆ ลงไปแล้ว คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่อง คุณธรรม หรือ ศีลธรรม นั่นแล ที่อาจถือเป็นรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่างเอาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากไม่ว่า อดีต จะเป็นเช่นไร? หรือ อนาคต จะเป็นเช่นไร? ต่างมีแต่ต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานแห่ง ธรรมะ หรือต้องดำเนินไปตาม ครรลอง-คลองธรรม เท่านั้น มันถึงจะพออยู่ๆ กันไปได้...

ขนาดพรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทยเท่าที่เคยมีมา อย่าง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่ว่าจะมีแนวคิด ทฤษฎี ออกมาในรูปไหนต่อรูปไหน แต่สิ่งที่ถือเป็นแกนหลัก เป็นแก่นสาระสำคัญ ของพวกชาวคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ก็น่าจะมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ คุณธรรม นั่นแหละเป็นหลัก ชนิดต้องอ่าน ต้องท่อง สิ่งที่เรียกว่า ชีวทรรศน์เยาวชน มาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เป็นแค่สมาชิกสันนิบาตเยาวชนอะไรทำนองนั้น จนทำให้บรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนไม่น้อย มีลักษณะออกไปทางคล้ายๆ พระ แทนที่จะออกไปทาง นักปฏิวัติ เอาเลยก็ยังมี...

และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะคิด ที่ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม คอมมิวนิสต์รักษาพระองค์ บางกลุ่ม บางราย ก็คือบรรดาผู้ที่เกิดความ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ซึ่งถูกนำมาใช้ควบคุมและกำกับความเป็นไปของ สถาบันพระมหากษัตริย์ แบบที่เรียกๆ กันว่า ทศพิธราชธรรม ทำนองนั้น โดยเฉพาะผู้ที่พร้อมเปล่งสัจวาจาอันหนักแน่น มั่นคง ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และโดย ธรรมะ หรือ คุณธรรม นั่นเอง ที่ช่วยให้เกิดความ สมานฉันท์ ระหว่างผู้ที่เคยอยู่ในฝ่ายตรงข้ามแบบชนิด 180 องศา หรือ 360 องศาเอาเลยก็ว่าได้ หรือทำให้เกิดการก้าวข้าม ระยะผ่าน ที่เคยเร่าร้อน รุนแรง ระดับถึงขั้นกลายเป็น สงครามประชาชน มาแล้วจนได้...

การส่งต่อ ส่งมอบคบไฟระหว่างรุ่นต่อรุ่น หรือการเป็น สะพานเชื่อม ระหว่าง อดีต และ อนาคต มันจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรม-ศีลธรรม-หรือบรรดา ธรรมะ ทั้งหลายนั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ใช่อาศัยแค่แนวคิด ทฤษฎี แล้วไปกวาด ไปต้อนเอา ใครก็ได้ ไม่ว่าพวกอาชญากร พวก LGBTQ หรือพวกที่เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง ที่ไม่ได้คิดสนใจคุณธรรม ศีลธรรมใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ฯลฯ เข้ามาเป็น เสาไฟฟ้า ในสนามเลือกตั้งแต่ละแห่ง แต่ละที่ ดังนั้น...เมื่อต้องเจอกับพวกคนรุ่นเก่า พวก อนุรักษนิยม ที่หลังๆ นี้...คงต้องยอมรับว่าชักเหลือแต่ประเภทโหดๆ เหี้ยมๆ หยาบๆ ตื้นๆ พวกสุดติ่งกระดิ่งแมวซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพวกที่ละเอียด ประณีต นุ่มนวล คลาสสิก ต่างดูจะล้มหาย ตายจาก กันไปหมดแล้ว แนวโน้มที่จะนำไปสู่ความ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย มันเลยออกจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือโอกาสนำไปสู่ ความพ่ายแพ้ ไปด้วยกันทุกฝ่าย จึงยิ่งเป็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที.