รัฐบาลอิหร่านดำเนินนโยบายต่อต้านไซออนิสต์ ชาติตะวันตกเรื่อยมา อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่านได้ทำหน้าที่จนถึงนาทีสุดท้าย
อิบราฮิม ไรซี (Ebrahim Raisi) ประธานาธิบดีอิหร่านมีผลงานมากมาย ในที่นี้นำเสนอ 2 เรื่อง เป็นตัวอย่างผลงานที่นานาชาติรับรู้
การปรับสัมพันธ์อิหร่าน-ซาอุฯ:
ความบาดหมางระหว่างรัฐบาลอิหร่านกับชาติอาหรับและเครือข่ายย้อนหลังยาวไกล เกี่ยวข้องกับนิกายศาสนา อำนาจปกครอง และร้อนแรงยิ่งขึ้นเมื่อมหาอำนาจเข้ามาในตะวันออกกลาง ขั้วซาอุฯ ที่เป็นมิตรกับสหรัฐดำเนินนโยบายหลายข้อตามตะวันตก หนึ่งในนั้นคือต่อต้านระบอบอิหร่าน ในระยะหลังรัฐบาลอิหร่านพยายามปรับความสัมพันธ์กับชาติอาหรับโดยเฉพาะซาอุฯ ที่เป็นหัวเรือใหญ่ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลซาอุฯ ไม่ยอมรับ ชี้ว่าอิหร่านพยายามแทรกแซงกิจการภายใน บ่อนทำลายสันติภาพตะวันออกกลาง
ภาพ: ชาวอิหร่านร่วมไว้อาลัยประธานาธิบดี
เรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นเมื่อเมษายน 2023 รัฐบาลอิหร่านกับซาอุฯ ร่วมแถลงจะเปิดสถานทูตระหว่างกัน จะมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับเศรษฐกิจอีกครั้ง เรื่องนี้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คนกลาง
เป็นการตัดสินใจที่ห้าวหาญสวนหลักคิดเดิมที่ยึดมาหลายทศวรรษ
อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่านกล่าวในโอกาสดังกล่าวว่า อิหร่าน “ไม่เคย” คิดว่าซาอุฯ เป็นศัตรู ไซออนิสต์ต่างหากที่เป็นศัตรู
ในมุมอาหรับ การที่อิหร่านกับซาอุฯ คืนดีกันตั้งอยู่บนหลักคิดว่าตะวันออกกลางที่สงบสุขให้ประโยชน์แก่อาหรับมากกว่า นโยบายตอนนี้คือขยับเข้าหารัสเซีย จีน อิหร่านมากขึ้น ถ่วงดุลอิทธิพลสหรัฐ ร่วมต่อต้านอิสราเอล โดยเฉพาะประเด็นปาเลสไตน์ เป็นความจริงที่บางประเทศสร้างและรักษาความยิ่งใหญ่ด้วยสงคราม ขยายอิทธิพลกว้างขวาง สามารถวางกฎระเบียบที่ตนได้ประโยชน์ให้ประเทศอื่นๆ ปฏิบัติตาม คำถามสำคัญคือ รัฐบาลซาอุฯ ได้ประโยชน์จากแบบใดมากกว่า ระหว่างส่งเสริมให้เกิดสงคราม สร้างความวุ่นวายในประเทศต่างๆ
กับอีกแนวทางคือภูมิภาคที่สงบเรียบร้อย คืนดีอิหร่าน ดึงซีเรียกลับมาเป็นสมาชิกสันนิบาตอาหรับ เปิดทางให้มหาอำนาจจีน รัสเซีย มีบทบาทในภูมิภาค เหล่านี้เป็นหลักฐานชี้ว่าซาอุฯ เลือกสันติภาพ
ทุกคนรู้ว่ายิ่งรบยิ่งพัง ส่วนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ความร่วมมือกับการพัฒนาจะเกิดขึ้นเอง เป็นข้อที่ผู้ปกครองต้องตัดสินใจว่าต้องการสิ่งใด ไม่ถูกต่างชาติเสี้ยมให้รบกันด้วยหลักคิดที่อาจฟังดูดีแต่ทำไม่ได้จริง เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
เมื่อรัฐบาลไรซียื่นมือออกไปและซาอุฯ ตอบรับ ผลคือประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องผวาภัยสงคราม ระดมทรัพยากรพัฒนาประเทศ ตั้งหน้าสร้างอนาคต สังคมเดินหน้าเต็มกำลัง
ประวัติศาสตร์จะบันทึกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี
ปลดปล่อยปาเลสไตน์เชิดชูอิหร่าน:
สงครามฮามาส-อิสราเอลเป็นเรื่องที่โดดเด่น เป็นความจริงที่พวกรัฐอาหรับแสดงบทบาทแข็งขันไม่น้อย สันนิบาตอาหรับ (Arab League) กับองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) มีมติคว่ำบาตรห้ามขายอาวุธกับกระสุนแก่อิสราเอล หลายครั้งพิสูจน์แล้วว่าแรงกดดันจากอาหรับได้ผลไม่น้อย
แต่ในบรรดาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางอิหร่านโดดเด่นเหนือใคร ไม่เพียงแต่พวกฮามาสในกาซา กองกำลังอื่นๆ ที่อิหร่านหนุน อันได้แก่ ฮิซบอลเลาะห์ ฮูตี กองกำลังในอิรักกับซีเรียเปิดฉากรบกับอิสราเอล บางส่วนปะทะกับกองกำลังสหรัฐกับพวกในตะวันออกกลาง ในทะเลแดง เหล่านี้ชี้ว่าฝ่ายอิหร่านสู้กับไซออนิสต์จริง เรื่องนี้สัมพันธ์กับศาสนาด้วย
ตั้งแต่ต้นฝ่ายอิหร่านย้ำหลายรอบว่ารัฐบาลอิหร่านไม่ได้สั่งการ ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นฝีมือฮามาส 100% ทั้งนักรบกับการวางแผน เช่นเดียวกับกองกำลังอื่นๆ อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่านกล่าวว่า กองกำลังที่โจมตีฐานที่มั่นสหรัฐในตะวันออกกลาง ตัดสินใจและลงมือด้วยตัวเอง แต่ยอมรับว่าอิหร่านถือเป็นหน้าที่ต้องสนับสนุนกลุ่มเหล่านี้
การรบของกองกำลังที่อิหร่านหนุนหลัง (รวมทั้งฮามาส) จึงเชิดชูบทบาทอิหร่านตั้งแต่เริ่มสงครามฮามาส-อิสราเอล
ลงโทษอิสราเอล:
สงครามฮามาส-อิสราเอลอาจตีความว่าเป็นสงครามตัวแทนระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลและสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกังวลว่าสงครามจะบานปลายกลายเป็นการรบโดยตรงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
ในที่สุดอิหร่านกับอิสราเอลได้ปะทะกันโดยตรง ทางการอิหร่านกล่าวสรุปปฏิบัติการโจมตีเพียงรอบเดียวว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว พร้อมกับเตือนอิสราเอลอย่าโต้กลับ อิหร่านไม่ต้องการทำสงคราม เป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตอบโต้อย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องอธิปไตย (ไม่ได้ประเมินจากความสูญเสียที่อิสราเอลต้องชดใช้) ประธานาธิบดีไรซีสดุดีความสำเร็จ กล่าวว่าปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล “ให้ไซออนิสต์ได้บทเรียน”
การปะทะโดยตรงแม้ถูกตีความว่าเป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่นับว่าอิหร่านกล้าลงมือโจมตีอิสราเอลถึงบ้าน ขีปนาวุธ โดรนอิหร่านบินตรงถึงอิสราเอลแล้ว
อิหร่านหลังไรซีเหมือนหรือแตกต่าง:
ถ้าถามว่าการจากไปของประธานาธิบดีไรซีส่งผลต่อประเทศหรือไม่ คำตอบคือคงไม่มาก เพราะเป็นระบอบ Islamic theocracy ศาสนาเป็นรากฐานการปกครอง พระเจ้ามีสิทธิอำนาจสูงสุด (ไม่ใช่กษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือประชาชน)
ในขณะเดียวกัน มีการจัดตั้งรัฐสภาหรือ Majles (National Assembly) เฟ้นหาตัวแทนประชาชนทุกภาคส่วนเป็นตัวแทนคนทั้งชาติ มีพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่มีแนวทางบางอย่างแตกต่างกัน เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจนโยบายรัฐบาล ตรวจตรากิจการของรัฐ รวมถึงศาล รับรองการแต่งตั้งรัฐมนตรีจากประธานาธิบดี มีอำนาจถอดถอนรัฐมนตรี โดยต้องสอดคล้องกับหลักศาสนา-ศาสนาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง การปกครองแบบหนึ่งนั่นเอง
Majles มาจากการเลือกตั้งทุก 4 ปี ปัจจุบันมีทั้งหมด 290 คน อีกบทบาทสำคัญคือเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้พิทักษ์จำนวน 6 คน (จากทั้งหมด 12 คน)
สภาผู้พิทักษ์ (Council of Guardians/Guardian Council) ประกอบด้วย คณะนักกฎหมาย (jurists) จำนวน 12 คน ทั้งหมดต้องมีความเชี่ยวชาญการพิพากษาด้วยศาสนา (กฎหมายตั้งบนหลักศาสนา การเข้าใจกฎหมายต้องมีความรู้หลักศาสนาอย่างดี) 6 คนมาจากการแต่งตั้งโดยตรงจากผู้นำสูงสุดอีก 6 คนมาจากการเลือกผ่านรัฐสภา
สภาผู้พิทักษ์มีหน้าที่วินิจฉัยรัฐธรรมนูญและรับรองกฎหมายที่ผ่านจาก Majles ว่าถูกต้องตามหลักอิสลาม และมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เช่น การเลือกตั้งปี 2005 มีผู้สมัครกว่า 2 พันราย แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 8 ราย
จะเห็นว่าสมาชิกสภาผู้พิทักษ์ครึ่งหนึ่งมาจากผู้นำสูงสุดอิหร่าน กับอีกครึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามาผ่านรัฐสภา
โดยรวมแล้วประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนรัฐสภา ได้รัฐบาลบริหารประเทศ ได้เลือกครึ่งหนึ่งของตัวแทนสภาผู้พิทักษ์ แต่ทั้งหมดตั้งอยู่บนหลักศาสนาอิสลาม
เมื่อศาสนามั่นคง (เปลี่ยนแปลงไม่ได้) รัฐบาลทุกชุดบริหารประเทศขัดศาสนาไม่ได้ การบริหารจึงไปทิศทางเดียวกัน เช่น นโยบายปลดปล่อยปาเลสไตน์ ต่อต้านไซออนิสต์ ไม่ยอมให้ตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลครอบงำเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม การบริหารประเทศของรัฐบาลแต่ละชุด จึงแตกต่างในเชิงการให้น้ำหนักหรือวิธีการบางอย่างตามบริบท
ยกตัวอย่าง สมัยประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มาดิเนจาด (Mahmoud Ahmadinejad) ในตอนนั้นกองทัพสหรัฐกับพันธมิตรอยู่ในตะวันออกกลางจำนวนมาก ส่วนหนึ่งอยู่ในอัฟกานิสถาน ประธานาธิบดีอะห์มาดิเนจาดดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ปี 2005 ประกาศว่าอิหร่านจะเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ และอาจถอนตัวออกจาก NTP ซึ่งเท่ากับว่า IAEA ไม่อาจตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์อิหร่านได้อีกต่อไป และอาจตีความตั้งใจว่าจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ในสมัยอะห์มาดิเนจาดโครงการนิวเคลียร์อิหร่านพัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นประเด็นที่นานาชาติให้ความสำคัญต่อเนื่อง
ดังนั้น การเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีหรือรัฐบาลจึงเปลี่ยนแปลงในวิธีการบางอย่างตามบริบท ส่วนเป้าหมายหลักคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและไม่อาจเปลี่ยนแปลง อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่านได้ทำหน้าที่จนถึงนาทีสุดท้าย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เส้นทางสายไหมตะวันออกแห่งศตวรรษที่21
BRI จะเป็นแค่การพัฒนาร่วมหรือเป็นยุทธศาสตร์ครองโลกของจีนเป็นที่ถกแถลงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนานาชาติเฝ้าติดตาม จริงหรือเท็จกาลเวลาจะให้คำตอบ
ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู2024 (2)
เนทันยาฮูย้ำว่า อิสราเอลหวังอยู่ร่วมกับนานาชาติโดยสันติ แต่กระแสโลกต่อต้านอิสราเอลส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของอิสราเอล นโยบายกับความจริงจึงย้อนแย้ง
ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู 2024 (1)
บัดนี้สถานการณ์ชี้ชัดแล้วว่าอิสราเอลกำลังจัดการฮิซบุลเลาะห์ต่อจากฮามาส ทำลายอิหร่านกับสมุนให้เสียหายหนัก
เลือกตั้งสหรัฐ2024เลือกสังคมนิยมหรือฟาสซิสต์
ทรัมป์ชี้ว่าแฮร์ริสเป็นพวกสังคมนิยม ส่วนแฮร์ริสชี้ว่าทรัมป์เป็นเผด็จการ สหรัฐกำลังเข้าสู่การเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”
ทรัมป์จะเป็นเผด็จการหากชนะอีกสมัย?
หากได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยและปกครองแบบเผด็จการ ก็ต้องถือว่าเป็นเผด็จการที่มาจากความต้องการของคนอเมริกันตามระบอบประชาธิปไตยสหรัฐ
ทรัมป์คุกคามโลกเสรีประชาธิปไตย?
การที่ทรัมป์แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อรัสเซีย จีน อาจไม่ปกป้องสมาชิกนาโต ชวนให้ตั้งคำถามว่าทรัมป์เป็นภัยคุกคามโลกเสรีประชาธิปไตยหรือไม่