จะโทษใคร...เมื่อเขาไม่เชื่อ

หลังจากการแถลงข่าวผลการตรวจสอบคุณภาพของข้าวเก่าเก็บ 10 ปีว่ามีสารพิษที่เป็นอันตรายหรือไม่ ยังมีคุณค่าสารอาหารหรือไม่ ปรากฏข้อความบนพื้นที่ Social media แสดงปฏิกิริยาว่าไม่เชื่อผลของการตรวจสอบ แม้ว่าการตรวจสอบในครั้งนี้กระทำโดยหน่วยงานที่มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือมาก่อนในอดีต แต่ผลของการตรวจสอบข้าวเก่าเก็บ 10 ปีที่มีการแถลงกันออกมานั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ที่ดีงามของหน่วยงานที่สะสมความน่าเชื่อถือมาหลายสิบปีหรือไม่ ถ้าหากภาพลักษณ์ชื่อเสียงของหน่วยงานนี้ต้องเสื่อมเสียในยุคนี้ ก็น่าเห็นใจคนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานนะ ที่ต้องรับหน้าเสื่อออกมาแถลงผลของการตรวจสอบที่นักการเมืองเขาหวังว่าภาพลักษณ์ชื่อเสียงของหน่วยงานที่มีมายาวนานจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แทนที่ภาพลักษณ์ของหน่วยงานจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการแถลงผล กลายเป็นการแถลงผลทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของหน่วยงาน

ทำไมข้อความบน Social media แสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อผลของการตรวจสอบสารพิษและสารอาหารในข้าวเก่าเก็บ 10 ปีที่มีการแถลงออกมา

1.ในแง่ของตัวอย่างที่เอามาตรวจนั้นสุ่มมาอย่างไร กรณีนี้ไม่มีพยานได้รู้เห็นในการสุ่ม ขณะเดียวกันตัวอย่าง 8 กิโลจากแสนกระสอบ โดยที่สาธารณชนไม่ได้รับรู้การสุ่มตัวอย่างดังกล่าว จึงไม่น่าเชื่อถือ หน่วยงานที่ตรวจก็บอกเพียงแต่ว่าได้รับข้าวมา 2 ถุง รวม 8 กิโลกรัม แต่ก็ไม่ได้บอกว่าหน่วยงานที่นำมาให้นั้น เอามาจากไหน สุ่มมาอย่างไร

2.การตรวจสอบเป็นการตรวจสอบแบบลับ ไม่มีพยานรู้เห็น ถ้าหากจะให้การตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือน่าจะมีสื่อมวลชน นักวิชาการด้านเคมี ชีววิทยา ร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจสอบด้วย จะทำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การตรวจกันลับๆ แบบไม่มีสักขีพยานเช่นนั้น หากสาธารณชนไม่เชื่อถือก็จะว่ากันไม่ได้นะ

               3.การตรวจสอบครั้งนี้กระทำโดยหน่วยงานราชการ ภายใต้การบัญชาการของนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือมานานแล้ว เพราะการกระทำที่ไม่โปร่งใสของนักการเมืองผู้สั่งการบางคนที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ ก็เป็นที่รู้เห็นเชิงประจักษ์มาหลายครั้งหลายคราแล้ว ความกังขาของประชาชนในเรื่องก่อนๆ ที่ผ่านมายังไม่สามารถทำให้กระจ่างได้เลย

4.สาธารณชนมีความสงสัยว่า ทำไมจึงมีการกดดันไม่ให้นักวิชาการอิสระที่ไม่ได้อยู่ใต้การบังคับบัญชาของนักการเมือง ไม่ให้มีการตรวจสอบข้าวเก่าเก็บ 10 ปีนี้ก่อน โดยอ้างว่าถ้าหากนักวิชาการอิสระมีการตรวสอบต่อจะก่อให้เกิดประเด็นที่นำไปสู่ความแตกแยกทางสังคม หรือกลัวว่าผลการตรวจสอบของนักวิชาการอิสระจะไม่ตรงกับการตรวจสอบของหน่วยงานราชการ ที่ทำการตรวจสอบภายใต้การบัญชาการของนักการเมือง

5.ข้อความที่แถลงจบลงด้วยเนื้อหาที่ “ใหญ่เกินจริง” เพราะนอกจากจะแถลงว่าข้าวเก่าเก็บ 10 ปีไม่เจอสารพิษใดๆ แล้ว ยังบอกอีกว่าข้าวดังกล่าวนั้นมีสารอาหารครบถ้วน ข้อความนี้ไม่มีใครเชื่อแน่นอน เพราะเราถูกสอนว่าการซาวข้าวหลายครั้งจะทำให้เสียคุณค่าทางอาหาร แล้วข้าวเก่าเก็บ 10 ปีที่ต้องซาวมากกว่า 10 ครั้งจะเหลือคุณค่าอาหารอะไร

6.ผลการตรวจสอบถูกนำมาเปรียบเทียบกับการตรวจสอบการขายลอตเตอรี่เกินราคา ที่ผลการตรวจบอกว่าไม่พบว่ามีการขายเกินราคา การตรวจสอบว่าพื้นที่ไม่มีซ่อง ไม่มีบ่อน ที่ประชาชนรู้ดีว่าผลของการตรวจสอบไม่ตรงกับความเป็นจริง ลอตเตอรี่ยังมีการขายเกินราคา ซ่องอยู่ไหน นักท่องเที่ยวรู้ บ่อนอยู่ไหน นักพนันรู้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ และบอกว่า “ไม่มี”

ถ้าจะให้คนเชื่อว่าข้าวเก่าเก็บ 10 ปีไม่มีสารพิษใดๆ และยังเป็นข้าวที่มีคุณค่าด้านสารอาหาร ก็สามารถทำได้ด้วยการทำให้ประชาชนได้รู้เห็นเป็นประจักษ์ ก็นำข้าวเก่าเก็บ 10 ปีนี้หุงให้ ครม.และครอบครัวของ ครม. หุงให้ครอบครัวของข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและการแถลงผลการตรวจสอบกิน หุงให้ครอบครัวของ สส.พรรคเพื่อไทยทุกคนกิน ทั้งหมดนี้ต้องกินทุกวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนอย่างเปิดเผย มีพยานรู้เห็นว่ากินจริง แล้วให้ทุกคนตรวจสภาพร่างกาย เปิดเผยผลของการตรวจสอบร่างกายให้สาธารณชนได้รับรู้ หากทำได้เช่นนี้ และทุกคนมีสภาพร่างกายเป็นปรกติ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ประชาชนจึงจะมั่นใจที่จะซื้อข้าวเก่าเก็บไปกิน

ถ้ามีการประมูลออกมาขายจริง ต้องกำหนดให้มีการเขียนที่ถุงให้ชัดเจนว่าเป็นข้าวเก่าเก็บ 10 ปี มีการตรวจสอบ การระบุที่ถุงอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกว่าจะซื้อข้าวเก่าเก็บ 10 ปีไปกินหรือไม่ บอกจริงๆ นะ ถ้าหากประมูลออกมาขายจริง ไม่ว่าจะขายภายในประเทศหรือต่างประเทศ รับรองว่าภาพลักษณ์ของข้าวไทยเสียหายแน่นอน เพราะจะมีคนจำนวนมากไม่มั่นใจคุณภาพของข้าวเก่าเก็บ 10 ปี ถ้าหากจะพูดว่าเรื่องข้าวเก่าเก็บ 10 ปีนี้จะทำลายการขายข้าวไทยในเวทีโลกแน่นอน ก็คงจะไม่ผิด ต่อไปนี้ใครจะเชื่อคุณภาพและความปลอดภัยของข้าวไทย เพราะมองด้วยตาเปล่าก็อาจจะเห็นสีที่เปลี่ยนไป อาจจะเห็นมอด เห็นรา ถ้าหากดมกลิ่นก็อาจจะได้กลิ่นหืน แล้วถ้าต้องซาวข้าวก่อนหุง 15 ครั้ง จะมีใครอยากทำ

อยากให้นักการเมืองที่มีอำนาจในการจัดการกับข้าวเก่าเก็บ 10 นี้คิดให้ดี คิดให้รอบคอบว่า เราควรจะทำอย่างไรในการจัดการกับข้าวดังกล่าวนี้ที่มีมากกว่า 100,000 กระสอบ อย่าพยายามดึงดันที่จะทำอะไรที่สวนทางกับความเชื่อถือของประชาชนผู้บริโภคข้าว และต่างชาติที่เขาซื้อข้าวไทยไปกินเลยนะ ต้องระวังที่เราจะเสียตลาดการส่งออกข้าวไปต่างแดน เวลานี้ทั้งเวียดนามและอินเดียที่เป็นคู่แข่งของเราในตลาดโลก คงยิ้มอย่างมีความสุข เพราะพวกเขาอาจจะได้สัดส่วนครองตลาดข้าวเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องออกแรงทำอะไร เพราะความพยายามจะขายข้าวไทยไปบางประเทศในทวีปแอฟริกานั้น ประเทศอื่นๆ เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าวไทยที่เขาซื้อนั้นจะไม่มีข้าวเก่าเก็บ 10 ปีนี้ปะปนไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาซื้อข้าวเวียดนาม ข้าวอินเดียที่พวกเขามีความมั่นใจคุณภาพ ไม่ดีกว่าหรือ

ถ้าหากรัฐบาลรู้จักฟังเสียงประชาชน ก็ควรจะรู้ว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรกับการพยายามพิสูจน์คุณภาพของข้าวเก่าเก็บ 10 ปีกว่า 100,000 กระสอบนี้ อย่ามัวแต่มองว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นคือคนที่มีอคติกับรัฐบาล เป็นสลิ่มที่ไม่ชอบรัฐบาล ถ้าหากคิดเช่นนั้น ลองจ้างคนไปทำการสำรวจความคิดเห็นของคนกว่า 10 ล้านคนที่ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย และเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วดูก็ได้ว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับข้าวเก่าเก็บ 10 ปี เขาเต็มใจที่จะซื้อไปกินหรือไม่ ไม่ต้องถามสลิ่มที่ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้นะ ถามแต่ FC ของพรรคเพื่อไทยก็พอ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับข้าวเก่าเก็บ 10 ปีนี้ อย่าทำลายตลาดข้าวไทยในเวทีโลกเลยนะคะ...ขอร้อง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

4 กลุ่มชั่วน่ากลัวเป็นนักหนา กลุ่มที่ 5 ยิ่งน่าสยอง

ณ เวลานี้ หลายคนมองประเทศไทยด้วยความห่วงใยว่า ประเทศไทยของเราที่เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก ทั้งการลงทุน การทำมาค้าขาย การเข้ามาพำนักยามชรา และการมาท่องเที่ยว

ลิ้นงู...ที่อยู่ในปากงู!!!

ถึงแม้นจะพะงาบๆ อยู่ห่างๆ...ไม่มีโอกาสได้ลงลึก เจาะลึก ในรายละเอียด ด้วยเหตุเพราะสุขภาพ สังขาร ร่างกาย และอาจด้วยความห่างเหิน ห่างหาย กับใครต่อใครมานานแสนนาน

ตั้ง 'นายพัน' สีกากีเริ่ม

อะไรจะเร็วขนาดนั้น! โผแต่งตั้ง "ตำรวจ" ระดับ "นายพันสีกากี" เริ่มขยับนับหนึ่งกันแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับ "นายพล" ล็อตแรก ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)

มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ

ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้

เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ