จะเป็นแต่เฉพาะ สังคมไทย หรือสังคมอื่นๆ ด้วยหรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่แน่ใจ ที่เมื่อใครก็ตามซึ่งได้สิ้นชีพิตักษัยลงไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดต่าง เห็นต่าง หรือแม้เคยกระทำการในสิ่งที่ดูเลวทราม ต่ำช้า ในสายตาของผู้ที่จัดอยู่ใน ฝ่ายตรงข้าม มาก-น้อยเพียงใดก็ตามที แต่เมื่อได้ลา-ละ-สละจากโลกนี้ไปแล้ว อะไรก็ตามที่ผู้นั้นได้เคยกระทำเอาไว้ ก็มักไม่ถูกหยิบยกมาว่ากล่าว ตำหนิ ติเตียน ให้ต้องมากเรื่อง-มากความโดยใช่เหตุ แต่พร้อมที่จะแสดงความอำลา-อาลัย ความเสียใจ แบบที่เรียกๆ กันว่าการ อโหสิกรรม โดยไม่คิดจะถือสา-หาความ อะไรอีก...
หรือแม้แต่ยุคที่ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ยุคที่ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ รายเดียวกับที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า นักโทษเทวดา ในช่วงระหว่างนี้ ยังมีอำนาจ วาสนา ยังใหญ่โตคับโลก คับฟ้า ไม่น้อยไปกว่ายุคนี้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเคยมีพระราชดำรัสถึงลักษณะเฉพาะบางอย่างของคนไทย เอาไว้ทำนองว่า สำหรับใครก็ตามที่ได้กระทำความผิดพลาดลงไปแล้ว และรู้สึก-สำนึกในความผิดพลาดนั้นๆ จนเกิดการวางมือ หรือลา-ละ-สละไปจากบทบาท อำนาจ หน้าที่นั้นๆ สังคมไทย ก็มักไม่คิดจะติดใจ ไม่สืบสาว-เอาความให้มากเรื่อง-มากความจนเกินไป หรือเกิดลักษณะการคล้ายๆ กับการ อโหสิกรรม ไปโดยปริยาย...
และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็ยากจะสรุปได้ ที่ทำให้บรรดาทวยไทยทั้งหลาย มักถูกเรียกขาน ถูกให้คำนิยามเอาไว้ประมาณว่า คนไทยลืมง่าย อะไรทำนองนั้น อันดูจะออกไปใน ทางลบ ซะมากกว่า คล้ายๆ พวกที่ไม่คิดจะจดจำ ไม่คิดจะสรุปอะไรไว้เป็นบทเรียนเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ในอีกด้านหนึ่ง...มันก็อาจสะท้อนสิ่งที่เป็นไปใน ทางบวก อยู่บ้างเหมือนกัน คือสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า อโหสิกรรม หรือถ้าจะให้พูดแบบสั้นๆ-ง่ายๆ ก็คือ การให้อภัย นั่นเอง อันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเอามากๆ ตามแนวคิดในพระพุทธศาสนา หรือศาสนาใดๆ ก็ตาม ยิ่งศาสนาคริสต์ด้วยแล้วถึงขั้นเมื่อโดน ตบแก้มซ้าย ยังพึงต้องยื่นหน้า ยื่นแก้มขวา ไปให้ตบกันซะอีก...
โดยไม่ว่าจะเป็นเพราะ คนไทยลืมง่าย หรือเพราะให้ความสำคัญกับ การให้อภัย ก็ตาม...สังคมไทยก็เลยออกจะเป็นสังคมที่ทำให้ใครต่อใคร อยู่-เย็น-เป็นสุข กันไปมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม หรือต่างความคิด ความอ่าน จนอาจต้องกลายเป็น ฝ่ายตรงข้าม ระหว่างกันและกันขึ้นมาในช่วงหนึ่ง-ช่วงใด เพราะโอกาสที่จะเกิดการให้อภัย การอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ค่อนข้างเป็นไปได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อความรัก-โลภ-โกรธ-หลงทั้งหลาย มันได้ตกผลึก ตกตะกอน นอนก้น ค่อนข้างเร็วกว่าสังคมอื่นๆ ที่ยังคงฝังจิต ฝังใจ อยู่กับความโกรธ-เกลียด-เคียดแค้น-อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง แบบชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก...
แต่ก็นั่นแหละ...จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า การให้อภัย การอโหสิกรรม ที่เคยดำรง คงอยู่ใน อารมณ์-ความรู้สึก ของคนไทยแบบเต็มที่ เต็มสูบ มาก่อนหน้านั้น มันค่อนข้างจะลดน้อย-ถอยลง ชนิดฮวบๆ ฮาบๆ เอาเลยก็ว่าได้ จะเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ฝ่ายตรงข้าม มันชักเพิ่มจำนวน ปริมาณมากขึ้นๆ หรือเป็นเพราะมันออกจะ อันตราย เอามากๆ ไม่ว่าในแง่พฤติกรรม การกระทำ ไปจนถึงการฝ่าฝืนรายละเอียดในตัวบทกฎหมาย ที่ต่างฝ่ายต่างหันมาแปลความ ตีความ แบบชุลมุน-ชุลเก ไปตาม มาตรฐาน ของใคร-ของมัน ด้วยเหตุเพราะมิอาจมองข้าม หรือมิอาจ ลืม กันได้ง่ายๆ ต่ออะไรก็ตามที่ขัดแย้งกับความคิด ความเห็น ความรู้สึกของตัวเอง การอโหสิกรรม การให้อภัย มันเลยเป็นอะไรที่ลำบาก ยากเย็น ยิ่งเข้าไปทุกที...
ภายใต้ความยากลำบากของความเป็นไปในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...มันจึงทำให้โอกาสที่จะ อยู่-เย็น-เป็นสุข กันแบบเดิมๆ เลยมีอันต้องลดน้อยถอยลงตามไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ เพราะต่างฝ่ายต่างหันไปอาศัย กฎหมาย ที่ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นต้องมีช่องโหว่ ช่องว่าง ไปด้วยกันทั้งสิ้น มาใช้เป็น เครื่องมือ ในการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม หรือเป็นช่องทางในการหลบหลีก หลบเลี่ยง แบบที่ท่าน นักโทษเทวดา ท่านใช้ๆ อยู่ในทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยเต็มไปด้วยสีสันบรรยากาศ แบบที่นาง ปอร์เชีย ได้เตือนๆ ชาวยิวหน้าเลือดอย่าง ไชล็อก ไว้ในบทละครเรื่อง เวนิสวาณิช ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 นั่นแหละว่า... “ฉะนั้นยิว-แม้อ้างยุติธรรม/จงกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า/ภายใต้กระแสยุติธรรมา/ยากจะหาความสุขเกษมเปรมดิ์ใจ” หรือจนกว่าที่ “อันความกรุณาปรานี/จะมีใครบังคับก็หาไม่/หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ/จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน/เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ/แก่ผู้ให้และผู้รับสมถวิล/เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น/เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา” จะอุบัติขึ้นมาในสังคมนี้อีกครั้ง อย่างจริงๆ จังๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง
เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้
แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ
ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว
ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย
คำอวยพรปีใหม่ 2568
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง
ก้าวสู่ปีใหม่ 2568
สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก
ลัคนากุมภ์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568
สรุป-แม้ทุกข์-กังวลจะยังอ้อยอิ่งอยู่ตลอดปีแต่ต้นปีเร่งสร้างฐานชีวิต ครั้นพฤษภาคมไปแล้ว