บันทึกหน้า 4

การดึงพืชกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แม้ฉากหน้าบรรดาแกนนำของสองพรรค “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ จากพรรคเพื่อไทย และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะพยายามประคับประคองถ้อยคำเพื่อลดความขัดแย้ง เพราะเป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา

 แต่หากไปดูสาระสำคัญก็ยอมรับยังมีคลื่นใต้น้ำและส่งตัวแทนมาสู้กันทั้งข้อมูลและชิงไหวพริบทางการเมือง และคนที่รับหน้าเสื่อหนักสุดคือ “รมต.16” สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ที่ต้องแก้เผือกร้อนนี้ให้ได้ ว่าจะหาข้อมูลเด็ดอะไรมาดึงกลับไปเป็นยาเสพติด พร้อมคำถามตัวโตๆ ว่า กัญชามีโทษมากกว่าเหล้า บุหรี่ ที่ขายกันอยู่อย่างถูกกฎหมายตามท้องตลาดหรือไม่ ตามที่ฝ่ายผู้สนับสนุนมองว่าสร้างประโยชน์ให้แก่สุขภาพและเศรษฐกิจมากมาย

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้าสมัยที่ รมต.สมศักดิ์ นั่งในตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ในยุคลุงตู่ยาวถึง 4 ปี ก็ยังเป็นคนร่วมปลดล็อกพืชกัญชาออกจากยาเสพติด ในฐานะนั่งในบอร์ด ป.ป.ส.ชุดใหญ่มาแล้วด้วยมติเอกฉันท์ รวมถึงเคยสั่งกรมราชทัณฑ์ปล่อยตัวนักโทษกัญชาเกือบ 5 พันคนสู่อิสรภาพมาแล้ว

ฉะนั้นสังคมจึงจับตาว่า สมศักดิ์ ที่เปรียบตัวเองเป็น น้ำในแก้ว ที่สามารถพัฒนาหรือปรับเข้าสู่สภาพ หรือ ภาชนะ อะไรก็ได้ จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไรให้ทุกฝ่ายวิน-วิน และตัวเองไม่เสียหายด้วย

และหากดึงกลับเป็นยาเสพติด ทั้งที่ตัวเองเพิ่งมีส่วนปลดล็อกมา จะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไรกับนโยบายรัฐที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยากจะเชื่อถือ     

โดยข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งมีการประเมินมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชง ณ ปี 2565 นับตั้งแต่ต้นน้ำถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ มีมูลค่ารวมถึงกว่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำมูลค่า 9,615 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์กลางน้ำ 14,690 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ 3,750 ล้านบาท แบ่งเป็น ยารักษาโรคและอาหารเสริม มูลค่า 1,500 ล้านบาท อาหารและเครื่องดื่ม 1,200 ล้านบาท เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล 800 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่มและของใช้ส่วนตัว 250 ล้านบาท และ ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า จะโตได้ 10-15% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 42,800 ล้านบาท 

 สำหรับ พรรคภูมิใจไทย ตอนนี้อาจเรียกได้ว่ามีเอกภาพเหนือกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเรื่องปรับ ครม. ก็ไม่มีปัญหาอย่างเช่นพรรคเพื่อไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ผู้มีอำนาจถูกตั้งคำถามว่า สั่งซ้ายสั่งขวาไม่เหมือนเดิมหรือไม่ จนสร้างแรงกระเพื่อมได้  โดยเฉพาะกรณี ชลน่าน ศรีแก้ว ถูกปรับออกจาก ครม. ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกหลังโปรดเกล้าฯ หลังไม่พอใจถูกลดชั้นออกจากรองนายกฯ ไปนั่งต่างประเทศเก้าอี้เดียว หรือกระทั่ง รมช.คลัง จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เด็กสร้างกลุ่มทุน ก็ไม่พอใจหลังถูกคนพรรคเพื่อไทยยึดอำนาจหมด จนหมดความหมาย

 ในทางการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีช่องกระสุนต้องลงมาพรรคภูมิใจไทยบ้าง ดังกระแสข่าวที่ออกมาปล่อยใส่บ้านใหญ่อุทัยธานี โดยระบุว่า มนัญญา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลาออกจากพรรคเลือดน้ำเงินไปสังกัดกลุ่มการเมืองอื่นๆ สวนทางกับความจริงที่พี่ชายคือ ชาดา ไทยเศรษฐ์ ยังเป็นรมช.มหาดไทย สังกัดพรรคภูมิใจไทย และ เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ลูกชาย น.ส.มนัญญา ยังเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยอีกด้วย

 ปะหน้า หัวหน้าอนุทิน บอกว่า น.ส.มนัญญาลาออกเพื่อไปรับตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวจะต้องพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีข่าววันนี้ เพราะลาออกไปตั้งแต่เดือน ก.พ.แล้ว และแปลกใจกับข่าวที่เกิดขึ้น พร้อมพูดติดตลกว่า "หากนายชาดาลาออก ค่อยมาถามผม" 

ด้าน “ชาดา” ให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.มนัญญายื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทยได้ 2-3 เดือนแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดเพิ่งมาเป็นข่าวในตอนนี้ และยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรภายในพรรค และตอนนี้ น.ส.มนัญญายังคงมาช่วยงานตนอยู่

สรุปงานนี้แค่ข่าวปล่อยกดดันพรรคภูมิใจไทยและชาดา เพื่อให้เกิดความแตกแยกและหวั่นไหวเท่านั้น.   

 

ช่างสงสัย 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บันทึกหน้า 4

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทยอย่างรุนแรง ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่พังถล่มลงมา เป็นการประจานระบบราชการไทยและรัฐบาลอีกครั้ง สำหรับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

บันทึกหน้า 4

” แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทย ไม่เพียงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตึก สตง.ถล่ม และต่อมายังมีตึกราชการต่างๆ เริ่มทรุดตัว

บันทึกหน้า 4

รายงานสถานการณ์จากศูนย์เอราวัณ กรณีเหตุแผ่นดินไหว ข้อมูล ณ เวลา 06.00 น. พบว่า ในขณะนี้พบผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 32 ราย เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 83 ราย

บันทึกหน้า 4

หลังเปิดแผลรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยุทธการจากนี้ต้อง “โรยเกลือ” เพื่อให้แผลแสบเจียนตาย เมื่อฝ่ายค้านมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบ “นายกฯ อิ๊งค์” มีน้ำหนักและมัดแน่น ก็จงยื่นตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องของ “นิติสงคราม” หากมัวแต่คิดแบบนั้นเท่ากับติดกับดักความคิดตัวเอง

“ศรีสะเกษยั่งยืน”

จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นยุทธศาสต์สำคัญทางการเมือง หากพรรคใดช่วงชิงได้ ก็มีโอกาสจะขยายความนิยมครองพื้นที่ในดินแดนอีสานใต้

บันทึกหน้า 4

ในที่สุด “ลิเกการเมือง” ว่าด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จบอย่างเป็นทางการแล้ว โดย มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 488 เสียง ก็ลงมติเห็นด้วยในการไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ไว้วางใจ 319 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ซึ่งก็เรียบร้อยตามที่ “นายใหญ่” สั่งมานั่นเอง ...๐