จงรับกรรม-จงรับกรรม-จงรับกรรม!!!

อาจด้วยเหตุเพราะความเดือดพล่านของโลกทั้งโลก...ไม่ว่าในแง่อุณหภูมิอากาศ หรือในหมู่มวลมนุษย์ ที่ใกล้จะล้างผลาญกันในระดับสงครามโลก-สงครามนิวเคลียร์ ยิ่งเข้าไปทุกที เลยไม่อาจหันไปใช้บริการแต่เฉพาะ คุณเจ๊ฟองสนาน โหรากรณ์โหราศาสตร์ฉบับไทยๆ ของบ้านเราได้อีกต่อไป มีแต่ต้องย้อนกลับไปหาคำทำนาย คำพยากรณ์ ของแม่ชีโปรตุเกสอย่าง ภคินีลูเซีย (Sister Lucia) ที่เรียกๆ กันว่า ความลับ 3 ข้อ ของแม่พระฟาติมา (Our Lady of Fatima) ที่ออกจะสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกทั้งโลกได้มั่ง...

โดยที่มา-ที่ไปของ ความลับ หรือ คำทำนาย ที่ว่านี้...เริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้วโน่นเลย คือตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 เมื่อเด็กเลี้ยงแกะ 3 รายชาวโปรตุเกส อย่าง Lucia Santos กับลูกพี่ลูกน้อง Jacinta Marto และ Francisco Marto กำลังเลี้ยง

แกะอยู่เพลินๆ แถวๆ ชนบทในเมือง Valinhos ประเทศโปรตุเกส ว่ากันว่า...มีอันได้เจอกับ ปรากฏการณ์ แปลกประหลาดมหัศจอรอหันการันยอ หรือได้เห็น ภาพนิมิต ที่ พระแม่มารี แสดงให้เด็กๆ ทั้ง 3 มีโอกาสรับรู้และเข้าใจถึงประมาณ 6 ครั้งด้วยกัน รวมทั้งมอบความไว้วางใจให้เด็กๆ เหล่านี้นำไปเปิดเผยในช่วงจังหวะที่เหมาะ-ที่ควร...

สำหรับความแปลกประหลาดมหัศจอรอหันการันยอทั้งหลาย...คงไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง เพราะจะจริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ อันนี้...คงต้องถือเป็นดุลพินิจส่วนตัว โดยจะต้องมีผู้ปกครองคอยแนะนำอยู่ข้างๆ หรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่เหตุที่ส่งผลให้ความลับ คำทำนาย คำพยากรณ์เหล่านี้ เป็นอะไรที่โด่งดังเอามากๆ ก็น่าจะเป็นเพราะด้วยความลับทั้ง 2 อย่าง ที่ Lucia Santos ซึ่งต่อมาได้ถือบวชเป็นภคินีหรือแม่ชีในศาสนจักรคาทอลิก ได้เปิดเผยออกมาเป็นช่วงๆ มันดูจะสอดคล้อง ต้องกันกับความเป็นไปของโลก โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 แบบค่อนข้างจะเป๊ะๆๆ อะไรทำนองนั้น...

แต่สำหรับ ความลับข้อที่ 3 ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน อยู่พอสมควร คือกว่าจะได้รับการเปิดเผยออกมาก็ต้องผ่านกระบวนการสลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย หรือถึงแม้จะถูกเร่งเร้า กดดัน เพียงใดก็ตาม แต่ ภคินีลูเซีย ท่านยังคงยืนกรานให้เปิดเผยหลังจากที่ท่านได้ตายไปแล้ว หรือหลังจากปี ค.ศ.1960 เป็นต้นไป โดยได้เขียนข้อความใส่ซองปิดผนึกให้ไว้กับพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรม จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ.2000 โน่นเลย ที่ พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ท่านถึงได้นำมาเปิดเผยเอาไว้แบบจะจะ แจ้งๆ แต่กระนั้นก็ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเปิดเผยไม่หมด หรืออาจ ขยัก เอาไว้บางส่วนหรือไม่? อย่างไร? ก็ยากที่จะสรุปได้...

อย่างไรก็ตาม...เอาเป็นว่าเท่าที่ถูกเปิดเผยออกมาก็น่าจะพอทำให้ใครต่อใครขนหัวลุก ขนคอตั้ง กันไปมิใช่น้อย โดยเฉพาะคำบอกเล่าถึงภาพนิมิตที่มี เทวทูต องค์หนึ่งถือดาบส่องประกายเอาไว้ในมือซ้าย ในขณะที่มือขวาชี้นิ้วไปยังโลกทั้งโลก พร้อมกับเปล่งเสียงสุรสิงหนาทออกมาด้วยคำที่ว่า Penance, Penance, Penanceหรือ จงรับกรรม-จงรับกรรม-จงรับกรรม ในขณะที่บาทหลวงชาวคริสต์ในชุดขาวและศาสนิกชนทั้งหลาย ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ที่เพียรพยายามป่ายปีนขึ้นสู่ภูเขาอันสูงชัน เพื่อไปให้ถึง ไม้กางเขน ซึ่งทำขึ้นมาจากต้นโอ๊กและปักไว้บนจุดสูงสุดของขุนเขาลูกนั้น แต่สุดท้าย...ไม่ว่าพระหรือศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างก็ถูกลูกศร ลูกกระสุน ของบรรดาทวยทหารสาดใส่ จนล้มตายกองระเกะระกะอยู่แถบชายเขา ไม่อาจปีนขึ้นไปถึง ไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ ได้เลย เหลือแต่ ดวงวิญญาณ ที่ได้รับการประพรมโดยน้ำมนต์เลือด ที่อยู่ในบาตรแก้วผลึกจาก เทวทูต สององค์ ซึ่งล่องลอยอยู่ด้านปลายของกางเขนทั้งสอง...

นี่...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ แต่น่าจะเป็นอะไรที่ก่อให้เกิดความขนลุก ขนพอง ขึ้นมามิใช่น้อย เพราะมันออกจะคล้ายๆ กับบรรยากาศความเป็นไปของโลกทั้งโลก ณ ช่วงขณะนี้อยู่พอสมควร คือเป็นอะไรที่ แก้ไข-เยียวยา แทบไม่ได้ ไม่ว่าจะในแง่อุณหภูมิอากาศ หรือในแง่พฤติกรรม การกระทำ ของมนุษย์ในปัจจุบัน มีแต่ต้องยอมรับสภาพ จงรับกรรม-จงรับกรรม-จงรับกรรม ไปตามที่เทวทูตท่านได้ชี้นิ้ว เปล่งสุรเสียงสิงหนาทกันไปตามสภาพ สิ่งที่อาจหลงเหลือพอให้เกิดความหวัง ความชื่นมื่น ชื่นใจ อยู่มั่ง ก็คือสิ่งที่พอรับรู้ได้ สัมผัสได้ด้วย จิตวิญญาณ แต่เพียงเท่านั้น อันเนื่องมาจากน้ำมนต์ในบาตรแก้วผลึก ที่นำมาจากหยาดเลือดของบรรดาผู้ที่ใฝ่ธรรม ผู้ยึดมั่นในธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง นั่นแล...

ด้วยเหตุนี้...สำหรับบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ที่ดันเกิดมาในโลกยุคนี้ สมัยนี้ แม้ว่าอาจต้องเหนื่อยฉิบหาย เหนื่อยตายโหง อันเนื่องมาจากความพยายามแก้ไข-เยียวยา ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง-เป็นธรรม หรือไม่เป็นไปตาม ธรรมชาติแห่งความถูกต้อง ใดๆ ก็แล้วแต่ ก็อย่าถึงกับต้องไปเบื่อหน่าย เบื่อแล้ว ไม่เอาแล้วกันง่ายๆ เพียงแค่หันไปรับฟังคำชี้แนะ ชี้นำ แบบสั้นๆ ง่ายๆ ที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของหมู่เฮาท่านได้สรุปย่อๆ ไว้ถึงหัวใจของธรรมะ หัวใจของศาสนา ไว้ว่า 1.ทำดี 2.ละเว้นความชั่ว และ 3.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ โอกาสที่ ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ จะสามารถรับรู้ได้ สัมผัสได้ ถึงความชื่นมื่น ชื่นใจ จากน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมน่าจะดีกว่าการไม่มีโอกาสรับรู้อะไรเลย นอกเสียจากความเจ็บปวด รวดร้าว ทรมาน จากบรรดา ผลกรรม ทั้งหลาย ที่มวลมนุษย์ในยุคนี้ สมัยนี้ มีแต่ต้องร่วมกันชดใช้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พระผู้เป็นเจ้า'กับ'กรรมดี-กรรมชั่ว'

ถ้าหากยังไม่ถึง จังหวะ และ โอกาส ที่เหมาะ-ที่ควร...ในอันที่จะทำให้ เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป ความพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญ-บังคับ-ขับไส

สีกากีไม่มีแผ่ว

วลี "สีกากีไม่มีแผ่ว" ดูจะไม่เกินจริงนัก ศึก "นายพล" ยังคงคุกรุ่นพร้อมจะลุกโชนตลอดเวลา "นายพัน-นายร้อย" ก็ไม่น้อยหน้า คำสั่งเด้งเข้ากรุแทบจะออกมาเป็นรายวัน

ทำไม่ดีก็ยังไม่ได้...ผลที่ได้เลยยังไม่ดี

การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก เริ่มต้นตั้งแต่การกำหนดวิธีเลือกที่หลายคนติดตามแล้วรู้สึกสับสน เข้าใจยาก

การปะทะทางอารยธรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุเพราะ อ่านหนังสือหมดบ้าน จนแทบไม่เหลืออะไรให้อ่านอีกต่อไปแล้ว!!!...เลยต้องหันไปคว้าเอา พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ท่านทูตวัฒนธรรมอิหร่าน

รักในอาชีพตำรวจ

หลังนายกฯ เศรษฐา สะบัดปากกาส่ง บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กลับคืน "กรมปทุมวัน" ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ