ปมความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาติเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาเข้ามาบริหารประเทศ โดยจุดเริ่มต้นต้องเรียกว่าชนวนเหตุนั้น มาจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นนโยบายหาเสียง และต่อมาถูกคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการ โดยเฉพาะจากฟากฝั่งคนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ที่มีการนำกลุ่มนักวิชาการร่วมกันลงชื่อคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก
ไม่พอเท่านั้น ในช่วงที่การบริหารประเทศที่เป็นช่วงสุญญากาศจากงบประมาณปี 67 ที่ยังไม่ออกมาบังคับใช้ ตอนนั้นรัฐบาลพยายามอย่างหนักที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต แต่เนื่องจากไม่มีเครื่องมือทางการคลังเพียงพอ จึงพยายามส่งสัญญาณเพื่อขอให้แบงก์ชาติใช้นโยบายการเงินช่วย ซึ่งก็คือการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง
แต่จนแล้วจนรอด รัฐบาลที่ใช้แนวทางทั้งขู่ ทั้งปลอบ และให้ทั้งลิ่วล้อ รวมถึงตัวนายกฯ ออกมากดดันอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิผล เพราะตลอดระยะเวลาที่่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินก็ยังไม่ขานรับ และยังคงอัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปีต่อไป โดยให้เหตุผลว่า อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
จนล่าสุดมาถึงคิวของ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีพูดถึงความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ โดยระบุใจความตอนหนึ่งในการปาฐกถาว่า
“ตอนนี้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นปัญหาและก็เป็นอุปสรรคสำคัญมากๆ ในการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะว่านโยบายทางด้านการคลังถูกใช้งานเพียงทางด้านเดียวมาตลอด และก็ทำให้ประเทศของเรามีหนี้ที่สูงมากขึ้น และก็สูงเพิ่มมากขึ้นทุกปีจากการตั้งงบประมาณที่ขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมที่จะเข้าใจและก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ประเทศของเราจะไม่มีทางลดเพดานหนี้ได้เลย”
นี่คือการกดดันอีกครั้ง โดยอุ๊งอิ๊งกำลังจะบอกว่าแบงก์ชาติควรอยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล ซึ่งประเด็นนี้ถูกคนในสังคมตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์มากมาย จนสุดท้ายอุ๊งอิ๊งถูกถล่มจากคนในทุกแวดวง จนแทบไม่มีที่ยืน และส่งผลให้จากเวทีนี้ ที่้เพื่อไทยตั้งใจจะปักธงเรียกคะแนนเสียงเข้าตัว กลายเป็นเวทีที่ทำร้ายตัวเองจนแทบจะเสียชื่อ
เมื่อพูดถึงการแทรกแซง ธปท.นั้น ต้องยอมรับในอดีตที่ผ่านมาฝ่ายบริหารประเทศกับแบงก์ชาติมักมีข้อขัดแย้งและมีความเห็นไม่ตรงกันหลายครั้ง และในอดีตฝ่ายการเมืองสามารถปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติได้อย่างง่ายดาย
แต่ในขณะนี้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นกฎหมาย ธปท.ฉบับปรับปรุงใหม่ที่ใช้ในปัจจุบัน ที่ออกมาในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นกฎหมาย ธปท. ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายเรื่องโดยเฉพาะการทำให้การปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ทำได้ยากขึ้นกว่าในอดีต
และที่สำคัญ การทำงานของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนปัจจุบันอย่างนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ยังไม่มีข้อบกพร่องที่จะเป็นเหตุให้ถูกปรับออกจากตำแหน่งได้ ดังนั้น รัฐบาลที่คิดอยากจะเปลี่ยนตัวผู้ว่าการ คงทำไม่ได้ง่ายนัก และถ้าทำจริง ประเด็นนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไฟลามทุ่งระดับประเทศได้เลย เพราะถือว่า รัฐบาลแสดงอำนาจบาทใหญ่ในการแทรกแซงองค์กรอิสระ ขณะเดียวกันอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในแวดวงการเงินทั่วโลก นำไปสู่การปรับเครดิตประเทศ และเลวร้ายนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผ่าแผนรับมือรถติดสร้างสายสีส้ม
จากการที่รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เตรียมจัดการจราจรเพื่อดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
เปิดขุมทรัพย์จากพฤติกรรมสุดขี้เกียจ
เชื่อหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่กดสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี ทั้งที่ร้านอยู่ใกล้แค่ใต้คอนโดฯ สั่งซื้อของจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่ร้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม หรือยอมจ่ายเงินจ้างคนไปต่อคิวเพื่อซื้อของ ทำธุระ
สงครามการค้าเวอร์ชัน 2.0
อย่างที่ทราบกันดีว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐล่าสุด ผู้ชนะก็คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งคว้าชัยแบบทิ้งห่างคู่แข่งอย่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต
แห่ส่งเสริมนวัตกรรมพลิกโลก
เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์ หรือ IoT(ไอโอที) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญในยุคสมัยนี้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นนวัตกรรมที่ทำให้การสื่อสารระหว่างมนุษย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น
OCAแก้วิกฤตพลังงานไทย
ปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤต ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาที่ผันผวนเพิ่มมากขึ้น มีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นของประชาชนและรายได้งบประมาณของรัฐลดลง
แอ่วเหนือ...คนละครึ่งบูมเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทั้งในแง่ของการคมนาคม เดินทางเข้าสู่พื้นที่และความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว