คนเรานั้น แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ว่าเราจะเกิดที่ไหน เกิดเป็นลูกใคร จะได้เป็นลูกเศรษฐีหรือลูกคนจน แต่เมื่อเราเติบโตรู้ความ ได้รับการอบรมบ่มนิสัย ได้รับการศึกษา ได้พบเจอข้อความในสื่อต่างๆ มีประสบการณ์กับชีวิตและการทำงาน เราก็จะมีความรู้ มีทักษะ มีการพัฒนาบุคลิก ตลอดจนพัฒนารสนิยมในการเลือกว่าเราจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร บางคนก็มีปัญญาดีพอที่จะมีวิจารณญาณในการเลือก บางคนก็ไม่ได้รับการอบรมที่ดีพอ เวลาเรียนก็ไม่ตั้งใจ ได้ข้อมูลอะไรมา ก็นำมาคิด วิเคราะห์ แยกแยะไม่เป็น เป็นคนที่ตรรกะไม่ดีพอ ทำให้มีรสนิยมในการเลือกที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีใครจะไปว่าอะไรได้ เพราะทุกคนต่างก็มีสิทธิเสรีภาพของตนเองที่จะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จะเลือกอะไร หรือไม่เลือกอะไร สำหรับคนที่มีวิจารณญาณดี รู้จักใช้ข้อมูลที่เป็นความจริงมาเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจเลือก ด้วยการคิด วิเคราะห์ แยกแยะเป็น สิ่งที่เขาเลือกก็จะเป็นสิ่งที่ดีงาม ส่งผลดีแก่ตัวเขาเอง และส่งผลดีต่อสังคมที่เขาอยู่
ในทางการเมืองของประเทศไทยเรานั้น สถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้เป็นผลมาจากการ “เลือก” โดยแท้จริง เป็นการเลือกหลายชั้นที่ส่งผลร้ายต่อประเทศ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพอับจน เป็นสภาพที่ผู้คนจำนวนมากจำใจต้องยอมรับ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะไม่มีปัญญาที่จะไปแก้ไขสถานการณ์ได้ และหากใครสักคนจะบ่นว่าไม่ชอบสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้เลย ก็จะได้ยินคำพูดที่ว่า “จะทำอะไรได้ล่ะ ก็เลือกเขามาแล้วนี่” คำพูดนี้น่าจะหมายถึงการเลือก สส. ที่ทำให้ประเทศไทยเรามี สส. อย่างที่เป็นอยู่ จริงๆ แล้ว การ “เลือก สส.” นั้นเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการเลือกเท่านั้น มันยังมีการ “เลือก” อีกหลายขั้นตอนที่ส่งผลร้ายให้กับประเทศไทย ถึงแม้ว่าการ “เลือก สส.” ของประชาชนอาจจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพนี้ มาดูกันว่ามีการ “เลือก” อะไรบ้างที่ส่งผลเสียให้ประเทศไทย
เรื่องแรกเลยก็คือ “การเลือกคนมาลงสมัคร” ก่อนที่ประชาชนจะได้ลงคะแนนเสียงเลือก สส. ทางพรรคก็จะเลือกคนมาลงสมัครรับเลือกตั้ง กระบวนการในการเลือกของแต่ละพรรคอาจจะแตกต่างกันไป บางพรรคก็อาจจะเป็นอำนาจของคนคนเดียวหรือไม่กี่คนที่จะตัดสินใจว่าจะให้ใครได้ลงเลือกตั้ง บางพรรคก็อาจจะมีการลงคะแนนเสียงอย่างเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดเราก็จะพบว่าบางพรรคมีคนติดคุกติดตะรางมาลงเลือกตั้ง มีคนที่เลี่ยงภาษี มีคนที่ติดคดี บางคนอยู่ในช่วงการประกันตัว บางพรรคเมื่อรวมจำนวนคดีของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคทั้งหมด ปรากฏว่ามีคนที่ทำผิดกฎหมายเป็นร้อย บางคนมีคดีมากกว่า 10 คดี นอกจากจะมีการนำเสนอคนที่ทำผิดกฎหมายแล้ว ยังมีบางพรรคเสนอคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีผลงานที่ดีเป็นเชิงประจักษ์อะไรเลย แต่อาจจะเป็นคนที่รู้วิธีการหาแสง ทำให้เป็นคนดังที่อยู่ในกระแสข่าวทั้ง offline และ online และข่าวต่างๆ ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดี แต่พรรคก็ประเมินจากการเป็นคนมีแสงของพวกเขา จึง “เลือก” ที่จะนำเสนอให้ประชาชนเลือก
การเลือกที่สอง ก็คือการ “เลือก สส.” ของประชาชน มีคนจำนวนมากไม่ได้ใช้ข้อมูลที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ บางคนเลือกเพราะชอบตัวบุคคล ไม่ว่าคนคนนั้นจะดีจะชั่วอย่างไร ไม่สนใจ ในเมื่อชอบก็จะเลือก บางคนก็เลือกตามกระแส ใครที่เป็นข่าว มีเรื่องราวปรากฏในสื่อได้ทุกวัน หรือบางทีสื่อไร้จรรยาบรรณก็ช่วยอวยช่วยเชียร์ บางคนเลือกเพราะหลงใหลนโยบายประชานิยมที่พรรคนำเสนอ กลุ่มนี้น่าจะมีมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เวลาพรรคการเมืองหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม สัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ อันนั้นก็ฟรี อันนี้ก็ลด ตาลุกวาว ตัดสินใจเลือก ไม่ได้พิจารณาเลยว่านโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองเสนอนั้น มันเป็นการขายฝันหรือเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้ หรือไม่เคยไตร่ตรองเลยว่าถ้าหากพรรคการเมืองที่หาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมได้เป็นใหญ่ และดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือ เลือกด้วยความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว แต่ไม่เคยเห็นแก่ประเทศชาติ
การเลือกที่สาม คือ การเลือกบุคคลในการดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง ตั้งแต่ตำแหน่งรัฐมนตรี ถามจริงๆ เถอะ ใครรู้สึก Wow กับคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 บ้าง มีคนที่ “ใช่” กี่คน มีคนที่ “ไม่ใช่” กี่คน มีคน “สีเทา” กี่คน มีบางคนที่เราสงสัยว่า “เขาเก่งอะไรนักหนา” ถึงได้เป็นรัฐมนตรีในทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะมีพรรคการเมืองไหนเป็นแกนนำ บางคน “ผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฏ” แต่ทำไมได้เป็นรัฐมนตรี ประเทศไทยขาดแคลนคนเก่งคนดีกันขนาดนี้เชียวหรือ นี่ปรับเป็น ครม.เศรษฐา 1/1 ใครเห็นว่าดีขึ้น มีความหวังขึ้นบ้าง ใครร้อง Wow บ้าง หลายคนสงสัย “ใครเป็นคนเลือก” และยังตั้งคำถามต่อไปว่า “เหตุผลในการเลือกคืออะไร” คนที่ถูกออกเพราะอะไร ใครที่ได้เข้ามาใหม่เพราะอะไร และใครเป็นคนตัดสินใจเลือก พูดตรงๆ เรามองเห็นคนที่ไม่ใช่หลายคน บางคนไม่ใช่เพราะ “ไม่เก่ง” บางคนไม่ใช่เพราะ “ไม่ดี” แล้วแบบนี้บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร ทำไมคนที่มีอำนาจในการเลือกจึงเลือกเช่นนี้
การเลือกที่สี่คือ “การเลือกของข้าราชการ” ในฐานะที่เป็นราชการ หลายคนรู้ว่าต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล แต่คำถามมีอยู่ว่า ถ้าหากรัฐบาลมีนโยบายที่ไม่ถูกต้อง ผิดหลักธรรมาภิบาล ข้าราชการควรจะเลือกอย่างไร หรือจะบอกว่าไม่มีทางเลือก ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐมนตรีกลั่นแกล้ง เราก็เลยได้เห็นข้าราชการบางคนเลือกที่จะเอาใจรัฐบาล บางคนทำตามสั่งโดยไม่พิจารณาอะไรทั้งสิ้นด้วยความกลัว บางคนให้ความร่วมมือเพราะต้องการ “ตำแหน่ง” หรือไม่ก็ต้องการ “เงิน” ที่นักการเมืองเลวๆ ประเคนให้ การเลือกแบบนี้ มันคือการเลือกที่ “โลภ” อยากได้เงิน อยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ จึงยอมทำทุกอย่างตามที่นักการเมืองต้องการ บางคนไม่ได้แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่เป็นคนชี้ช่องและอำนวยความสะดวกให้นักการเมืองสามารถฉ้อฉลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยการลอดช่องโหว่ของกฎหมาย
การเลือกทั้งปวงเหล่านี้แหละคือที่มาของสภาพ “อับจน” ของประเทศไทยในยามนี้ จะทำยังไงได้ล่ะ “ก็เลือกกันมาอย่างนี้” ในทุกขั้นตอนที่ว่าไงล่ะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง
เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้
แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ
ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว
ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย
คำอวยพรปีใหม่ 2568
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง
ก้าวสู่ปีใหม่ 2568
สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก
ลัคนากุมภ์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568
สรุป-แม้ทุกข์-กังวลจะยังอ้อยอิ่งอยู่ตลอดปีแต่ต้นปีเร่งสร้างฐานชีวิต ครั้นพฤษภาคมไปแล้ว