เวียดนามเขย่าระดับสูงอย่างต่อเนื่อง...เป็นการยืนยันว่าจะต้อง “ชำระสะสาง” ให้สามารถจะบอกประชาชนและชาวโลกว่ายึดมั่นเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสอย่างจริงจัง
อีกทั้งเพราะคนรุ่นใหม่คงจะต้องความหวังว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องสะท้อนถึงความคาดหวังของคนทั่วไปว่าจะไม่ยอมให้มีเรื่องแปดเปื้อนในระดับสูงของประเทศ
เหมือนที่สี จิ้นผิงแห่งประเทศจีนจะต้องกวาดล้างทั้งเรื่องคอร์รัปชั่นและการเล่นเส้นสายภายในพรรคและในรัฐบาลอย่างจริงจัง
เพราะหาไม่แล้วจะเกิดวิกฤตศรัทธาต่อพรรค และหากพรรคอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้
เวียดนามเดินตามจีนในเรื่องนี้มาตลอด
ล่าสุดประธานรัฐสภาแห่งเวียดนาม เวือง ดิ่ง เหว่ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ด้วยการยอมรับว่าได้ทำผิดกฎเกณฑ์กติกา
อีกทั้งขาดคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม
ที่ต้องเปิดหมวกอำลาอย่างเปิดเผยเพราะเกิดเรื่องผู้ช่วยของประธานสภาถูกจับกุมข้อหาติดสินบน
หลักฐานจะโยงถึงตัวเองหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะทำให้เสื่อมเสียสถาบัน และสามารถจะลามเข้าถึงพรรคได้
ยิ่งสื่อในเวียดนามไม่มีเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์ระดับสูง แต่ความเห็นทางอ้อมในโซเชียลมีเดียก็ทำให้ระดับนำของพรรคและรัฐบาลต้องลุกขึ้นมาทำอะไรให้เห็นเป็นประจักษณ์ว่าจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบโดยฉับพลัน
ลักษณะที่ขอตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือขอย้ายไปนั่งตำแหน่งอื่นชั่วคราวไม่ใช่วิถีทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาในหมู่ประชาชนได้
การประกาศลาออกของประธานาสภาเวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งผู้นำระดับสูงของเวียดนามที่ต้องแสดงความรับผิดชอยด้วยการลาออก
เป็นเรื่องอื้อฉาวเกรียวกราวต่อเนื่องหลังจากที่ประธานาธิบดี 2 คนก็ต้องประกาศอำลาด้วยการยอมรับถึงความผิดพลาดที่ไม่อาจจะปล่อยผ่านไปได้
เพื่อเป็นการแสดงว่าไม่ว่าตำแหน่งจะใหญ่โตเพียงใดก็ไม่มีใครใหญ่กว่ากฎหมาย
คนที่มานั่งในตำแหน่งประธานรัฐสภาถือว่าเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักของระดับนำของเวียดนาม
หากเสาใดเสาหนึ่งเกิดอาการโอนเอนก็ต้องจัดการเปลี่ยนทันทีเพื่อไม่ให้อีกสามเสาต้องถูกกระทบ
หาไม่แล้วทั้งโครงสร้างก็จะสั่นไหวอันจะเป็นอันตรายต่อการบริหารปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคสมัยที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมากมาย
คำประกาศไขก๊อกของประธานสภาฯเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ผู้ช่วยคนสำคัญของเขาถูกตำรวจล็อกตัวด้วยข้อหารับสินบนจากบริษัทที่เกี่ยวโยงกับโครงสร้างพื้นฐาน
แค่ยื่นไม่ลาออกไม่พอ ต้องมีถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นการตอกย้ำด้วย
แถลงการณ์จากกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม เผยแพร่ในเว็บไซต์ของทางการรัฐบาลบอกว่า
“การกระทำผิดในฐานละเมิดกฎหมายและความผิดพลาดของสหายเวือง ดิ่ง เหว่ได้สร้างความเห็นในแง่ลบในทางสาธารณะ ส่งผลถึงชื่อเสียงของพรรค รัฐ และตัวเขาเอง”
ข้อความอ่านจะดูเบา แต่ข้อหาหนัก
เท่ากับเป็นการยอมรับว่าได้มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเอง อันหมายความว่าความผิดนั้นมิได้จำกัดเฉพาะในตัวของผู้ช่วยเท่านั้น
แต่ยังโยงถึงตัวประธานสภาด้วย
ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นที่สาธารณชนต้องรับทราบจากปากคำของรัฐบาลเอง
ไม่อาจจะปล่อยให้เป็นเรื่องซุบซิบนินทาในร้านกาแฟได้
เพราะนั่นจะเท่ากับเป็นปล่อยให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อว่ารัฐบาลพยายามจะปกปิดความผิดพลาดในระดับสูง
เนื้อในของแถลงการณ์บอกถึงมาตรการลงโทษที่เด็ดขาด
นั่นคือระบุว่าระดับนำได้อนุมัติรับใบลาออกของประธานสภาวัย 67 แล้ว
และจะถูกปลดจากตำแหน่งในคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงตำแหน่งในกรรมการ บริหารพรรคหรือโปลิตบูโร ซึ่งเป็นกลไกที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจด้านนโยบายของประเทศ
ที่น่าสนใจคือในแถลงการณ์ไม่บอกรายละเอียดของความผิดร้ายแรงที่ได้ทำลงไป
อาจจะเป็นวิธีการรักษาหน้าอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นการส่งสัญญาณไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐว่าไม่ว่าความผิดจะมีมากน้อยเพียงใด ยิ่งมีตำแหน่งสูงความผิดก็ยิ่งหนัก
เพราะเจ้าหน้าที่แต่ละระดับจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา
การรณรงค์ปราบปรามคอร์รัปชั่นในเวียดนามทำกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
มีการประกาศโครงการที่เรียกขานด้วยชื่อที่สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยว่า
“เตาเผาที่ลุกโชน” หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Blazing furnace
เพื่อสื่อความหมายความว่าความเลวร้ายในระบบนั้นจะต้องถูกทำลายให้สิ้นซากด้วยการโยนเผาทำลายในเตาเผาที่ร้อนแรงลุกโชน
โครงการต่อต้านคอร์รัปชั่นระดับสูงนี้ทำมาหลายปี และมีการเปิดเผยชื่อและตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของภาครัฐและผู้บริหารรายใหญ่ในภาคธุรกิจ
ทั้งที่ถูกดำเนินคดีหรือถูกบีบให้ต้องลาออกจากตำแหน่ง
แม้แต่ในธุรกิจเอกชนก็เข้าข่ายการสอบสวนและลงโทษอย่างเกรียวกราว
เช่นกรณีเมื่อ 11 เมษายนที่ผ่านมา เชือง มี้ ลัน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เวียดนามระดับอภิมหาเศรษฐีถูกศาลตัดสินประหารชีวิต
ในข้อหาฉ้อโกงมูลค่า 12,500 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 5 แสนล้านบาท) หรือเกือบ 3% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีของเวียดนามปี 2022
ประธานสภาเหว่ เป็นนักเศรษฐศาสตร์และเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นผู้นำทางการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง
กรณีนี้เกิดขึ้นหลังการลาออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดีหว่อ วัง เถิง เมื่อเดือนมีนาคม
โดยพรรคคอมมิวนิสต์ระบุว่าเขาได้ “ละเมิดกฎของพรรค” โดยไม่มีรายละเอียด
เป็นเรื่องอื้อฉาวต่อจากการลาออกของเหงียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า
ซึ่งลาออกเมื่อปีที่เพราะพบทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชา
ทั้งหมดนี้คือการยอม “ซักผ้าสกปรกในที่สาธารณะ” เพื่อให้พรรคดำรงภาพลักษณ์แห่งความสุจริตและเที่ยงธรรม
เพื่อให้ประชาชนศรัทธาและนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่น
เป็นสองอย่างที่จะขาดเสียไม่ได้หากเวียดนามจะก้าวไปเส้นทางการสร้างอนาคตของตนเองได้อย่างมั่นคง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว