อยากช่วย...อยากเชียร์...แต่เพลียแล้วนะ

ในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราตกใจเมื่อเห็นผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 ได้ สส. 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยมาเป็นที่ 2 ได้ สส. 141 ที่นั่ง ส่วนพรรคที่เขาเรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษ์หรือพรรคหนุนเผด็จการนั้น ได้จำนวน สส.ห่างไกลจาก 2 พรรคนี้มาก ภูมิใจไทยที่ได้จำนวน สส.มาเป็นที่ 3 ได้เพียง 70 คนเท่านั้น ส่วนพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติที่อาศัยพลังลุงป้อมและลุงตู่นั้นได้จำนวน สส.น้อยอย่างน่าใจหาย และไม่อยากจะเชื่อว่าพลังของลุงตู่ที่สร้างผลงานไว้มากมายไม่มีพลังเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติ คงจะเป็นเพราะพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้หาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลประโคมออกมามากมาย ทำได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง สัญญาไว้ก่อน แล้วก็มีคนเชื่อเป็นจำนวนมาก ไม่พิจารณาให้ดีว่าสัญญาแล้วจะทำได้หรือไม่ หรือถ้าหากทำได้จริงแล้วจะส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือมีความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง

เราตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคเล็กๆ อีกหลายพรรค ทำ MOU ร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล โดยจะมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ แต่พิธาหัวหน้าพรรคก้าวไกลกลายเป็นนายกฯ ว่าว เพราะทางพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่องความพยายามที่จะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 การจัดตั้งรัฐบาลก็ตกมาเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทย และเพื่อให้ได้จำนวน สส.มากพอ และให้ได้รับการสนับสนุนจาก สว.ให้ได้คะแนนเสียงมากพอที่พรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลได้ เกิดการตระบัดสัตย์เพื่อชาติขึ้น พรรคเพื่อไทยที่เคยบอกว่าจะไม่ร่วมกับพรรคลุงก็จำเป็นต้องร่วม ส่วนพรรคอนุรักษ์ขวัญใจสลิ่มที่เคยออกมาไล่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยก่อนที่จะมีรัฐประหาร ก็รู้สึกเสียใจว่าออกมาไล่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แต่สุดท้ายก็ต้องไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ยอมให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดทบทวนฉากทัศน์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น สลิ่มก็ทำใจได้ พิจารณาคณิตศาสตร์ทางการเมืองก็จะเห็นได้ว่ากลุ่มพรรคอนุรักษ์ที่เคยร่วมงานกับลุงตู่ ยังไงก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าหากจะเป็นรัฐบาลให้ได้ทำผลงานเพื่อประชาชน ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย โดยตั้งเงื่อนไขว่าในการร่วมรัฐบาลนั้นจะต้องไม่มีพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยก็ทำได้ตามนั้น ส่วนพรรคอนุรักษ์ที่ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยก็บอกกับสลิ่มว่าจะเข้าไปดูแลให้รัฐบาลทำงานอย่างโปร่งใส เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล สลิ่มทั้งหลายจึงทำใจได้ และยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว หวังประเทศชาติจะได้เข้าสู่บรรยากาศของความปรองดอง และสลิ่มหลายคนก็ช่วยกันทำหน้าที่แบกรัฐบาล หลายคนยุติการด่าทอต่อว่าพรรคเพื่อไทย ให้โอกาสทำงานเพื่อประชาชน โดยหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถส่งผลงานให้โดนใจประชาชน และเอาชนะพรรคก้าวไกลได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะสลิ่มคิดว่ายุคใหม่ สมัยใหม่ ทั้งข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ และความสามารถของนักสืบไซเบอร์ทั้งหลาย น่าจะป้องกันการโกงบ้านโกงเมืองได้

สลิ่มหลายคนกลายเป็นสลิ่มน้ำแดง แทนการเป็นสลิ่มน้ำกะทิ คือ เป็นเพื่อนกับด้อมแดง ทำกิจกรรมร่วมกับด้อมแดง สงบปากสงบคำไม่ด่าทอต่อว่าพรรคเพื่อไทยให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ช่วยแบกช่วยเชียร์การทำงานของรัฐบาล หวังให้พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมเหนือพรรคก้าวไกล และสามารถเอาชนะพรรคก้าวไกลได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่แล้วสลิ่มน้ำแดงทั้งหลายก็ต้องผิดหวัง เพราะตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา 7 เดือน ยังไม่เห็นรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ส่งผลงานอะไรที่ต้องตาต้องใจสลิ่มเลย นอกจากนั้นแล้วยังมีการกระทำหลายอย่างที่ทำให้เสียคะแนนมากกว่าได้คะแนน จนป่านนี้แล้วคะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลยังคงนำห่างพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่มีข่าวการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผิดขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามหลายเรื่อง แต่คะแนนนิยมของพวกเขาก็ยังคงเป็นที่หนึ่งตลอดมา

นอกจากไม่ได้สร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจ สร้างคะแนนนิยมแล้ว กลับมีการกระทำที่ทำให้เสียคะแนนอีกหลายๆ เรื่อง จนทำให้สลิ่มน้ำแดงรู้สึกว่าจะแบกต่อไปไม่ไหว จะเชียร์ต่อไปไม่ได้ จะยับยั้งการด่าทอต่อว่าก็สุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้ เพราะมีการกระทำที่ขัดใจประชาชนมากมาย ประชาชนมีความกังขา มีข้อสงสัย หลายคนเพียรถามทั้งในสื่อสารมวลชน และในสื่อ Online แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ตอบ ตีเนียนไปเรื่อยๆ ไม่สนใจที่จะทำให้ประชาชนหายสงสัย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำที่พวกเขาไม่สามารถชี้แจงได้นั้นมันมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ ความไม่ไว้วางใจที่เคยมีมาแต่ก่อนก็กลับคืนมาอีกครั้ง หลายคนเริ่มคิดว่าเราจะหาความโปร่งใส ความมีธรรมาภิบาลจากรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ประชาชนไม่สบายใจหลายเรื่อง และเรื่องต่างๆ ที่ประชาชนไม่สบายใจนั้นปรากฏเป็นนโยบายธงของพรรคเพื่อไทย

มีความพยายามที่จะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด โดยที่ไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เรียกขานกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนั้นมีปัญหาตรงไหน ทำไมต้องร่างใหม่ และประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทั้งการทำประชามติที่ไม่ใช่ครั้งเดียวและเงินเดือนของ สสร.ที่จะมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ

เรื่องการจัดการการกลับมารับโทษของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นนักโทษเทวดา ที่กลับเข้ามาแล้วไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว ทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นการบริหารจัดการที่ให้อภิสิทธิ์แก่นักโทษตั้งแต่วันแรกที่กลับเข้ามาในประเทศ ไปจนถึงเมื่อครบ 180 วัน ได้รับการพักโทษนอกเรือนจำ ประชาชนหลายฝ่ายเพียรถามข้อมูลเรื่องอาการเจ็บป่วย เรื่องการอยู่นอกเรือนจำตลอด 180 วัน เรื่องการได้รับการพักโทษว่าเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ ก็ไม่มีคำคอบ

เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่ต้องใช้เงินจำนวนมากถึง 500,000 ล้านบาท เมื่อมีการแถลงออกมาว่าจะไปเอาเงินจากไหนมาแจก ประชาชนก็รับไม่ได้ และเรื่องนี้ก็มีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง และอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนมากไม่เห็นด้วย มีการท้วงติง รัฐบาลก็ไม่ฟัง ประชาชนมีคำถามหลายข้อ โดยเฉพาะเรื่องทำไมไม่แจกเป็นเงินสด ทำไมต้องเป็นดิจิทัล ทำไมไม่แจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทำไมต้องแจกคนที่ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือ เมื่อมีคำถาม แต่ไม่มีคำตอบ จะไม่ให้ประชาชนสงสัยได้อย่างไรว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ หลายคนเป็นห่วงเป็นใยเรื่องความโปร่งใสในการบริหารจัดการ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถตอบคำถามที่ประชาชนเพียรถาม

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สลิ่มที่เคยเทกะทิออกแล้วใส่น้ำแดงแทน เป็นสลิ่มน้ำแดง จะทนแบก ทนเชียร์ได้
อีกต่อไปหรือไม่ หลายคนคงต้องเปลี่ยนน้ำแดงเป็นกะทิที่หอม หวาน มัน เหมือนเดิมแล้วนะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ

ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้

เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ

เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!

เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม

จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!

ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก

ดร.เสรี ยกวาทะจัญไรแห่งปี 'เขาเว้นเกาะกูดให้เรา'

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประโยควาทะอัปรีย์จัญไรแห่งปี "เขาเว้นเกาะกูดให้เรา" แสดงว่าเขาเมตตาเราสินะ เราต้องขอบคุณเขา สำนึกบุญคุณเขาใช่ไหม