จับตาบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ช่วงนี้หลายคนกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเอา อ่อนค่าเอา ตอนนี้ราคาหลุดทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แม้จะมีการแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า

โดยเงินบาทถือว่าอ่อนค่าหนักที่สุดในรอบ 6 เดือน และเงินบาทยังอ่อนค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาครองจากเงินเยนญี่ปุ่น โดยตั้งแต่ต้นปีมีการปรับลดไปแล้วกว่า 7.7%

ทั้งนี้ ในมุมมองของนักวิเคราะห์เชื่อว่าค่าเงินบาทยังคงปรับลงได้มากกว่านี้อีก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่มีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง

ล่าสุด นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ระบุ การอ่อนค่าของเงินบาทซึ่งทะลุระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลมาจากความกังวลของนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่ลดดอกเบี้ยเร็ว หนุนให้บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนหันไปถือดอลลาร์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทซึ่งอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นๆ และคาดว่าจะอ่อนค่าต่อเนื่องถึงเดือน พ.ค.นี้ มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ จากฤดูกาลจ่ายเงินปันผลของไทย ซึ่งทำให้มีเงินไหลออกนอกประเทศ และมาจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยซึ่งจะเกินดุลน้อยลง หรือบางช่วงอาจขาดดุล จึงไม่ได้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่า รวมถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก

โดยในระยะสั้น เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าไปสู่ระดับ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ และหากปีนี้เฟดไม่ลดดอกเบี้ยเลย มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าไปสู่ระดับ 40 บาทต่อดอลลาร์ เพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับมาขยายตัวมากนัก กดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับสหรัฐและสวนทางตลาดโลก ปัจจัยเหล่านี้มีผลให้ความเชื่อมั่นของประเทศลดลงได้

นายอมรเทพระบุว่า ไม่ได้บอกว่าลดดอกเบี้ยไม่ได้ แต่การลดดอกเบี้ยจะทำให้เสถียรภาพระยะสั้นมีความผันผวนมากขึ้น อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้หากไทยดำเนินนโยบายการเงินสวนทางตลาดโลก ดังนั้นระยะยาวมีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าไปแตะระดับ 40 บาทต่อดอลลาร์ แต่ระยะสั้นมองว่ามีโอกาสอ่อนค่าไปที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์
แม้ว่าบาทอ่อนถึงระดับ 40 บาท/ดอลล์จะมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติทางรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทไหลขึ้นลงไปตามยถากรรม เพราะบาทอ่อน แม้จะมีข้อดีในเรื่องของการส่งออกที่จะได้กำไร มากขึ้น และได้เปรียบทางการค้า แต่ในอีกมุมมันก็กระทบต่อการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะราคาพลังงานที่จะต้องควักกระเป๋าแพงขึ้น และราคาพลังงานก็มีผลกระทบต่อต้นทุนหลายๆ ด้าน

ตอนนี้ในมุมมองของเศรษฐกิจมหภาค ไทยเรายังโชคดีที่ได้ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาประคอง ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล ทำให้บาทยังไม่อ่อนเกินไป

ดังนั้น ตอนนี้ที่ต้องจับตาคือ เศรษฐกิจสหรัฐเป็นอย่างไร และเศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวได้มากแค่ไหน ถ้าเกิดว่าเศรษฐกิจเราไม่ฟื้นเราอาจได้เห็นบาทอ่อนเข้าใกล้ 40 บาท/ดอลล์ได้.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความสำเร็จของแบรนด์กับการใช้Meta

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีประชากร 700 ล้านคน และมี GDP รวมประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

หวยเกษียณแก้ปัญหาแก่ก่อนรวย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือหวยเกษียณ ของกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งนี่ถือเป็นโครงการที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมการออมของประชาชนในประเทศ

เจ็บแล้วจบ

หลังการบริหารงานของรัฐบาลเศรษฐาได้เข้ามาเดินหน้ามาตรการประชานิยมลด แลก แจก แถม จัดเต็ม ตามที่สัญญากันไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า

3แผนกรีนดันอุตฯไทยรักษ์โลก

เทรนด์รักษ์โลกยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และตลอดปี 2567 ที่ผ่านมานี้หลายหน่วยงาน หลายบริษัทก็ยังไม่ทิ้งอุดมการณ์อันแรงกล้านี้ และยังแห่ประกาศแผนดำเนินงานเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมกันอย่างคึกคัก

เร่ง“ปรับ”ก่อน(ถูก)“เปลี่ยน”

ยอดขายรถยนต์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ เพราะหดตัวลงถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มว่าทั้งปีจะหดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี

เปิดไม้เด็ดธุรกิจขนาดเล็กสู้ในตลาด

หากย้อนเวลาไปเมื่อหลายปีก่อน ธุรกิจที่มีทุนหนาและมีส่วนแบ่งการตลาดมาก มักจะถูกมองว่าเป็น “ปลาใหญ่” ที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ทุนน้อยกว่าซึ่งเปรียบเหมือน “ปลาเล็ก” จนเป็นที่มาของคำว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หนึ่งในข้อได้เปรียบที่เห็นชัดที่สุดคือ การมี Economy of Scale หรือ การประหยัดต่อขนาด ซึ่งหมายถึง การผลิตสินค้าหรือบริการในจำนวนที่มากพอที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง พูดง่ายๆ ก็คือ “ยิ่งผลิตมากขึ้น ต้นทุนการผลิตยิ่งลดลง และยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น” โดยต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการจะแบ่งออกเป็น ต้นทุนคงที่ (fixed cost) และต้นทุนผันแปร (variable cost) ต้นทุนคงที่ คือ ต้นทุนที่ธุรกิจต้องจ่ายเป็นจำนวนคงที่ ไม่ว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการในปริมาณเท่าใดก็ตาม เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเครื่องจักรอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ส่วนต้นทุนผันแปร