
"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" แม้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จะไม่กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท แต่หันไปใช้แนวทางใหม่คือ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ปี 67 จำนวน 175,000 ล้านบาท และงบปี 68 จำนวน 152,700 ล้านบาท และงบจาก ธ.ก.ส. จำนวน 172,300 ล้านบาท
โดยเฉพาะ ธ.ก.ส.นั้น ถูกท้วงติงอย่างมาก หากเปิดกฎหมายดูก็สุ่มเสี่ยงจะขัดกับวัตถุประสงค์ว่าสามารถนำไปแจกเกษตรกรได้หรือไม่ ซึ่งนายกฯ เตรียมเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะทำได้หรือไม่
"อ.สมชัย ศรีสุทธิยากร" ตั้งข้อสังเกตว่า 1.พ.ร.บ.ธ.ก.ส.2509 มาตรา 9 เขียนวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจนว่า “(1) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร” ไม่ใช่ “ครอบครัวเกษตรกร" แม้จะมีคำว่าครอบครัวเกษตรกรใน (ค) และ (ง) แต่การให้ต้องให้ต่อเกษตรกรตาม (1)
2.ตัวเลขเกษตรกร 17.23 ล้านคน จึงเป็นตัวเลขยกเมฆ เอาครอบครัวเกษตรกรที่ไม่รู้ชัดเจนว่ามีอีกกี่คน ทำอาชีพอะไร ร่ำรวยแค่ไหนแล้วมารวมให้ถึง 17.23 ล้านคน ทั้งๆ ที่เกษตรกรที่จดทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ มีแค่ 8.9 ล้านคน
3.ยังไม่นับมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.ธ.ก.ส. ที่ให้อำนาจกระทำกิจการต่างๆ ในฐานะธนาคาร รวม 17 อย่าง เช่น ให้กู้ รับฝาก ขายตั๋วเงิน ฯลฯ ที่อ่านสิบรอบก็ไม่เจอคำว่า “แจกเงิน” หรือ “ให้รัฐบาลยืมเงินไปแจก"
4.ดังนั้น พิจารณาจากกฎหมาย อย่างไรก็เอาเงิน ธ.ก.ส.ไปสนับสนุนดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ครับ ยกเว้นคณะกรรมการ ธ.ก.ส.จะลงมติให้โดยเสี่ยงติดคุก
นอกจากเรื่องข้อกฎหมายแล้ว "อ.สมชัย" ยังตั้งคำถามเรื่องดอกเบี้ยไว้น่าสนใจ จับจากน้ำเสียงของ รมช.การคลังที่พูดว่าเป็นการยืม จับจากคำตอบของปลัดกระทรวงการคลังที่ไม่ตอบเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าดอกเบี้ยเท่าไร ใช้คืนเมื่อใด
แต่หากถึงขั้น “ยืม” ใช้คืนแบบไม่มีดอกเบี้ย นั้น จองศาลาวัดได้เลย เพราะมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เขียนไว้ชัดว่า “โดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนั้น"
เอาเงินออกไปใช้ย่อมสูญเสียโอกาสให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยธนาคารทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 7.05-7.25 ต่อปี ส่วนของ ธ.ก.ส.อยู่ที่ร้อยละ 6.975 ต่อปี เงินกู้ 172,300 ล้าน จึงมีดอกเบี้ยประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี
"เอาไปแจกประชาชน แล้วค่อยส่งคืนเมื่อตั้งงบประมาณได้ ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีกำหนดเวลาคืน ผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังชัดเจน คนยืมคือคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ และคนให้ยืมคือบอร์ดและผู้บริหาร ธ.ก.ส. จองวัดได้เลย”
ขณะที่ ธ.ก.ส.เองที่ถูกรัฐบาลมัดมือชก ล่าสุดก็ออกแถลงการณ์แบบแบ่งรับแบ่งสู้ ยังไม่ได้เออออห่อหมกไปด้วย โดยระบุว่า "อยู่ระหว่างประสานงานภายใต้กรอบกฎหมายและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม แต่ที่ชัดเจนคือ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ธ.ก.ส.ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 3 ข้อ มติคณะกรรมการ สร.ธ.ก.ส.ให้ดำเนินการดังนี้
1.ส่งเรื่องให้หน่วยงานกำกับดูแล ธ.ก.ส. ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาว่า รัฐบาลสามารถกู้เงิน ธ.ก.ส.ไปดำเนินการโครงการ Digital wallet ได้หรือไม่
2.ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายว่า รัฐบาลสามารถกู้เงิน ธ.ก.ส.ไปดำเนินการโครงการ Digital wallet ได้หรือไม่
3.ให้ธนาคารเร่งสื่อสารทำความเข้าใจทั้งภายในและภายนอกองค์กร ว่าในปัจจุบัน ธ.ก.ส.ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ กับรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Digital wallet เนื่องจากอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นจากส่วนงานกำกับดูแลตามข้อ 1 และ 2
แค่เรื่องกฎหมายก็หนักแล้ว วิบากกรรมโครงการนี้ยังไม่หมด เพราะนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า โครงการทุจริตเชิงนโยบายเอื้อเจ้าสัวหรือไม่ "ถ้าเชนร้านสะดวกซื้อรับดิจิทัลวอลเล็ตได้ เม็ดเงินแสนล้านจะถูกดูดเข้าส่วนกลาง เข้าบัญชีบริษัทจำกัดมหาชน ไม่ได้กระจายในท้องถิ่น".
ช่างสงสัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทยอย่างรุนแรง ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่พังถล่มลงมา เป็นการประจานระบบราชการไทยและรัฐบาลอีกครั้ง สำหรับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
” แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทย ไม่เพียงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตึก สตง.ถล่ม และต่อมายังมีตึกราชการต่างๆ เริ่มทรุดตัว
บันทึกหน้า 4
รายงานสถานการณ์จากศูนย์เอราวัณ กรณีเหตุแผ่นดินไหว ข้อมูล ณ เวลา 06.00 น. พบว่า ในขณะนี้พบผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 32 ราย เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 83 ราย
บันทึกหน้า 4
หลังเปิดแผลรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยุทธการจากนี้ต้อง “โรยเกลือ” เพื่อให้แผลแสบเจียนตาย เมื่อฝ่ายค้านมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบ “นายกฯ อิ๊งค์” มีน้ำหนักและมัดแน่น ก็จงยื่นตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องของ “นิติสงคราม” หากมัวแต่คิดแบบนั้นเท่ากับติดกับดักความคิดตัวเอง
“ศรีสะเกษยั่งยืน”
จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นยุทธศาสต์สำคัญทางการเมือง หากพรรคใดช่วงชิงได้ ก็มีโอกาสจะขยายความนิยมครองพื้นที่ในดินแดนอีสานใต้
บันทึกหน้า 4
ในที่สุด “ลิเกการเมือง” ว่าด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จบอย่างเป็นทางการแล้ว โดย มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 488 เสียง ก็ลงมติเห็นด้วยในการไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ไว้วางใจ 319 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ซึ่งก็เรียบร้อยตามที่ “นายใหญ่” สั่งมานั่นเอง ...๐