โดยสีสัน บรรยากาศ ของโลกที่กลายสภาพเป็น โลกเดือด ไปแล้วในทุกวันนี้...มันน่าจะเหมาะสม สอดคล้อง ต้องกันเป็นอย่างยิ่ง สำหรับประเพณี สงกรานต์ ตามแบบฉบับไทยๆ ของหมู่เฮา คือไม่ใช่แค่ สาดสี หรือเอาฝุ่น เอาแป้ง สีโน้น-สีนี้ มาโปรยใส่กันและกันตามแบบต้นฉบับของแท้แต่ดั้งเดิม ของพวกแขก พวกอินตะระเดีย อะไรไปโน่น แต่เปลี่ยนมาเอาน้ำใสๆ น้ำสะอาดๆ แถมอาจปรุงกลิ่นให้หอมฟุ้ง ด้วยดอกมะลิ ด้วยน้ำหอม น้ำปรุง ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เอามารด เอามาราด พอช่วยให้เกิดความชุ่มฉ่ำ ชุ่มชื่น ไม่ว่าในทางร่างกาย หรือจิตใจ ท่ามกลางภาวะที่อะไรต่อมิอะไร มันชักจะร้อนตายโหงร้อนตายห่า ยิ่งเข้าไปทุกที...
ส่วนจะ เล่นสงกรานต์ กันในตอนไหน? เมื่อไหร่? หรือจะเล่นยาวว์ว์ว์กันไปเป็นเดือนๆ อันนั้น...คงต้องลองไปสอบถามท่านประธานซอฟต์วง ซอฟต์แวร์ อย่างคุณหลาน อุ๊งอิ๊ง กันอีกที แต่เอาเป็นว่า...ด้วยขีดความสามารถในการ ดัดแปลง หรือการ ประยุกต์ อะไรต่อมิอะไรให้กลายมาเป็น ไทยๆ ของบรรดาบรรพบุรุษ โคตรเหง้าเหล่าตระกูลของหมู่เฮาทั้งหลายนี่แหละ ที่ทำให้ ประเพณีสงกรานต์ ตามแบบฉบับไทยๆ เลยเป็นอะไรที่สนุกสนาน รื่นเริง บันเทิงใจ ก่อให้เกิดคุณค่า-คุณประโยชน์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณธรรม ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือความ กตัญญูกตเวที ต่อบรรดาญาติ-ผู้ใหญ่ ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ผู้ที่นั่งพนมมือรับน้ำสงกรานต์ หอมๆ-เย็นๆ จากลูกๆ หลานๆ ที่ยังคงเห็นถึงคุณค่า-คุณประโยชน์ ของสิ่งที่ท่านได้เคยกระทำมานับตั้งแต่อดีตจนตราบเท่าทุกวันนี้...
เพียงแค่การระลึก หรือการให้ความสำคัญกับคุณธรรมที่ว่า ก็อาจช่วยให้ ความร้อน ต่างๆ นานา มันน่าจะทุเลา-เบาบางลงไปได้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย เพราะการระลึกถึงคุณค่า-คุณประโยชน์ ของสิ่งที่เคยมีมาในอดีต ว่าไปแล้ว...มันคงไม่ต่างไปจากโอกาสในการใคร่ครวญ ทบทวน ถึง บทเรียน เท่าที่เคยผ่านมาและผ่านไป อันอาจช่วยให้ ปัจจุบัน และ อนาคต เบื้องหน้า ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พอได้เกิด ทางออก และ ทางไป ไม่ต้องวนมา-วนไปอยู่กับ ความผิดพลาด แบบซ้ำๆ ซากๆ หรืออาจช่วยให้เกิดการ ดัดแปลง การ ประยุกต์ใช้ ที่เหมาะสม สอดคล้อง กับตัวของตัวเอง หรือกับสังคมทั้งสังคม จนพอที่จะ อยู่รอด-ปลอดภัย หรืออาจ อยู่เย็น-เป็นสุข ไปอีกตราบนานเท่านานเอาเลยก็ไม่แน่!!!
เพราะถ้าสิ่งที่เรียกว่าความ กตัญญูกตเวที มันดันไม่ได้หลงเหลืออยู่ในจิตใจ ในอารมณ์-ความรู้สึก ของใครต่อใครแล้วไซร้ มันคงไม่ต่างอะไรไปจากการ ตัดขาด ตัวเอง ออกไปจาก รากเหง้า จากที่เกิด ที่เป็นอยู่ ที่เป็นไป หรือจากแหล่งกำเนิดของตัวเองไปโดยสิ้นเชิงนั่นเอง เหมือนดั่ง คบไฟ ที่ถูกดับลงไปแล้วโดยสนิท โอกาสที่จะจุดขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เกิดแสงสว่างพอที่จะส่องให้เห็นทางออก-ทางไป มันจึงไม่น่าจะถึงกับง่ายกันซักเท่าไหร่นัก มีแต่ต้องอาศัยการส่งต่อคบไฟไปเป็นทอดๆ การสืบต่อ สืบทอด วัฒนธรรม-ประเพณี ติดต่อกันไปเป็นรุ่นๆ เป็นยุคๆ เป็นสมัยๆ โดยอาจ ดัดแปลง หรือ ประยุกต์ใช้ กันไปในรูปไหน? ลักษณะไหน? อันนั้น...คงต้องไปว่ากันอีกที...
เหมือนอย่างที่โคตรเหง้า เหล่าตระกูลของหมู่เฮา นำเอาต้นฉบับการสาดแป้ง สาดสี จากพวกแขกอินตะระเดีย มาดัดแปลงแก้ไข ให้กลายเป็น สงกรานต์แบบไทยๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ ลงตัว จนกลายเป็น วัฒนธรรม-ประเพณี ที่สามารถดึงดูดบรรดา นักท่องเที่ยว เข้ามาเล่นน้ำในเมืองไทยได้เป็นแสนๆ ล้านๆ ในแต่ละช่วง แต่ละปี นั่นแหละ ชนิดแม้แต่กุมารจีนนักท่องเที่ยวเมืองจีน ยังวิ่งรี่เข้ามาแบก ปืนฉีดน้ำ มองหาคนเล่นน้ำ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นสงกรานต์เอาเลยด้วยซ้ำ หรือทำให้การ ดัดแปลง การ ประยุกต์ใช้ แบบไทยๆ เลยกลายเป็น ซอฟต์พาวเวอร์ อันโด่งดังไปทั่วทั้งโลกด้วยประการฉะนี้...
แต่ด้วยเหตุเพราะ คุณธรรม ที่เรียกๆ กันว่าความ กตัญญูกตเวที นี่แหละ...นับวันมันจะค่อยๆ จางหาย ขาดหายไปจากสังคมไทย ขาดหายไปจากบรรดา คนรุ่นใหม่ จะด้วยเหตุผล กลใด ก็ตามที การตัดขาดไปจาก อดีต ยึดมั่นอยู่แต่ ปัจจุบัน และมุ่งมั่นที่จะฝ่าข้ามไปสู่ อนาคต โดยไม่ได้คิดจะสนใจ วัฒนธรรม-ประเพณี หรือแม้แต่ ค่านิยมทางสังคม ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย มันเลยทำให้โลกที่ร้อนๆ อยู่แล้ว ยิ่งมีแต่ร้อนยิ่งขึ้นไปใหญ่ ทำให้สังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้า เต็มไปด้วย อันตราย แห่งความขัดแย้ง แตกแยก ชนิดอาจถึงขั้นต้องตัดขาด แยกขาด ระหว่าง คนรุ่นเก่า กับ คนรุ่นใหม่ แบบต่อไม่ติด แบบแทบไม่เหลือคบไฟใดๆ ที่พอจะส่องสว่างให้เห็นถึง ปลายอุโมงค์ เอาเลยแม้แต่น้อย...
ดังนั้น...แม้ว่า สงกรานต์ ปีนี้ คราวนี้ คนแก่ คนชรา อย่าง อันตัวข้าพเจ้าเอง จะแทบไม่เหลือเรี่ยว เหลือแรง พอที่จะไปสาดน้ำ หรือกระทั่งพนมมือรับน้ำสงกรานต์ของใครต่อใครได้อีก แค่เฉพาะไม่ต้อง โชคดี...ที่ตายก่อน ก็ออกจะลำบาก ยากเย็น เต็มที แต่ก็ยังหวัง ยังปรารถนา ที่จะเห็นสิ่งที่เรียกว่าความ กตัญญูกตเวที หลงเหลือติดปลายนวมในหมู่บรรดา คนรุ่นใหม่ ทั้งหลาย ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเหลือง เป็นแดง เป็นส้ม ฯลฯ หรือเป็นอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เพราะมีแต่สิ่งเหล่านี้เท่านั้น ที่พอจะช่วยให้เกิด บทเรียน เกิดการ เรียนรู้ ในอันที่จะช่วยนำพาสังคมไทยไปสู่อนาคตเบื้องหน้าได้อย่าง อยู่รอด-ปลอดภัย หรือแม้แต่ อยู่เย็น-เป็นสุข ได้บ้าง แม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ ก็ยังดี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง
เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้
แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ
ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว
ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย
คำอวยพรปีใหม่ 2568
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง
ก้าวสู่ปีใหม่ 2568
สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก
ลัคนากุมภ์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568
สรุป-แม้ทุกข์-กังวลจะยังอ้อยอิ่งอยู่ตลอดปีแต่ต้นปีเร่งสร้างฐานชีวิต ครั้นพฤษภาคมไปแล้ว