บันทึกหน้า 4

"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" จับตาผลงานชิ้นโบดำอีกชิ้นของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 9 เม.ย. เตรียมเสนอเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (ไทยแลนด์วิชัน) ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมีสาระสำคัญของมาตรการสำคัญในการปรับปรุงมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียม และมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ 

ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐาที่เคยได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงมาตรการลดค่าธรรมเนียมของภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากขึ้น และเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีโอกาสมีที่อยู่อาศัยของตัวเอง รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

 “มาตรการดังกล่าวจะลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จากปกติ 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน จากปกติ 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ประกอบด้วย 1.อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว และ 2.ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีซื้อขายเฉพาะส่วน โดยให้มาตรการดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2567” 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ฟังดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นเศรษกิจ แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องคำนึงและอาจทำให้นายกฯ ตกม้าตาย ในประเด็นเรื่องขัดกันแห่งผลประโยชน์ ที่กฎหมายกำกับไว้ในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่มาตรา 184-187    

และยังสอดรับกับความเห็นของตัวเขาและบรรดาลิ่วล้อก่อนหน้านี้ที่พยายามกดดันผู้ว่าฯ แบงก์ชาติให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งไม่ทราบจะเกี่ยวโยงกันหรือไม่ แต่ก็ไม่รอดเสียงนินทาจากชาวบ้าน เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนนี้เสี่ยนิดเคยเป็นพ่อค้าขายบ้าน ทาวน์โฮม คอนโดฯ และเคยเป็นถึงประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย   

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวในเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ปัญหาอยู่ที่บ้านราคา 1-3 ล้านบาท ที่มียอดคงค้างขายไม่ออกเป็นจำนวนมาก ในส่วนราคาที่มากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป ก็อาจจะมีปัญหาบ้าง แต่น้อยกว่า นโยบายนี้อาจเป็นนโยบายที่ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น เพราะธุรกิจอสังหาฯ ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องไปในภาคธุรกิจอื่นอีกค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากเป็นบ้านสร้างเสร็จแล้วที่ยังคงค้าง โอกาสที่จะนำไปสู่การทำให้ธุรกิจขยายตัว หรือมีการสร้างบ้านขึ้นมาใหม่นั้นน้อยกว่า จึงเป็นมาตรการที่เน้นช่วยพยุงธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะ

 “ต้องมีการชั่งน้ำหนักว่าควรให้ไปถึงในสัดส่วนที่เท่าไร การที่ยิ่งขยายเยอะ ก็อาจจะทำให้เกิดข้อครหาได้ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจอสังหาฯ มากจนเกินไปหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามาตรการนี้ถูกกำหนดไว้ให้เฉพาะบ้านที่มีราคาค่อนข้างถูก เพื่อช่วยให้กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยลงมา ได้รับประโยชน์โดยตรง” น.ส.ศิริกัญญาระบุ

เรื่องนี้คงต้องฝากการบ้านให้พรรคก้าวไกล เพราะจะหวังพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็คงทำได้ไม่เต็มที่ เพราะยังวนเวียนแต่แก้ปัญหาภายในของตัวเอง จนถูกด้อยค่าต่อจากวาทกรรมพรรคอะไหล่ กลายเป็นพรรคโลกงง วันนึงอยากเป็นฝ่ายค้าน อีกวันนึงอยากร่วมรัฐบาล ล่าสุดหัวหน้าพรรค ปชป. เฉลิมชัย ศรีอ่อน เรียกร้องให้ นายกฯ ออกมาเปิดเผยว่าคือใครกันแน่ เพราะทำให้พรรคที่อายุกว่า 78 ปี ได้รับความเสียหาย ซึ่งก่อนหน้านี้ "เศรษฐา” บอกว่า "ไม่ได้ติดต่อกับเขาโดยตรง" แต่มีการประสานเข้ามา และคาดกันว่า น่าจะติดต่อผ่าน “ทักษิณ ชินวัตร" เจ้าของพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่.

 

ช่างสงสัย 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บันทึกหน้า 4

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทยอย่างรุนแรง ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่พังถล่มลงมา เป็นการประจานระบบราชการไทยและรัฐบาลอีกครั้ง สำหรับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

บันทึกหน้า 4

” แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทย ไม่เพียงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตึก สตง.ถล่ม และต่อมายังมีตึกราชการต่างๆ เริ่มทรุดตัว

บันทึกหน้า 4

รายงานสถานการณ์จากศูนย์เอราวัณ กรณีเหตุแผ่นดินไหว ข้อมูล ณ เวลา 06.00 น. พบว่า ในขณะนี้พบผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 32 ราย เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 83 ราย

บันทึกหน้า 4

หลังเปิดแผลรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยุทธการจากนี้ต้อง “โรยเกลือ” เพื่อให้แผลแสบเจียนตาย เมื่อฝ่ายค้านมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบ “นายกฯ อิ๊งค์” มีน้ำหนักและมัดแน่น ก็จงยื่นตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องของ “นิติสงคราม” หากมัวแต่คิดแบบนั้นเท่ากับติดกับดักความคิดตัวเอง

“ศรีสะเกษยั่งยืน”

จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นยุทธศาสต์สำคัญทางการเมือง หากพรรคใดช่วงชิงได้ ก็มีโอกาสจะขยายความนิยมครองพื้นที่ในดินแดนอีสานใต้

บันทึกหน้า 4

ในที่สุด “ลิเกการเมือง” ว่าด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จบอย่างเป็นทางการแล้ว โดย มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 488 เสียง ก็ลงมติเห็นด้วยในการไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ไว้วางใจ 319 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ซึ่งก็เรียบร้อยตามที่ “นายใหญ่” สั่งมานั่นเอง ...๐