ปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวทางของจีนต่อสงครามกลางเมืองพม่าถูกกำหนดโดยผลประโยชน์ของตนเอง
หนึ่งในนั้นคือ ท่อส่งน้ำมันและก๊าซที่พาดผ่านพม่า จากยะไข่ไปจนถึงตอนเหนือของรัฐฉาน
หากด้วยเหตุผลใดก็ตามที่จะทำให้เกิดการชะงักงันของการทำงานของท่อน้ำมันและก๊าซ ก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจในจีน
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผลกระทบของสงครามในพม่าต่อการค้าชายแดน ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นเลือดหล่อเลี้ยงประชากรบริเวณดังกล่าว
การค้าชายแดนมูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (กว่า 170,000 ล้านบาท)
และสงครามช่วงหลังที่ฝ่ายต่อต้านสามารถยึดครองที่ตั้งทางทหารของกองทัพพม่าหลายจุด ตรงบริเวณชายแดนตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็ทำให้การค้าชายแดนหยุดชะงักไปอย่างมีนัยสำคัญ
ประการที่สาม จีนต้องการจะปกปักรักษาเขตเศรษฐกิจพิเศษจอก์พยูในรัฐยะไข่
ซึ่งมีความสำคัญเพราะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่ม หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางระดับโลก หรือ Belt and Road Initiative (BRI)
จีนเชื่อว่ารัฐบาลทหารและฝ่ายต่อต้านอาจไม่สามารถทำลายอีกฝ่ายหนึ่งอย่างราบคาบได้
นั่นแปลว่าการสู้รบจะยืดเยื้อ
ยิ่งการสู้รบถูกลากยาวไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีน
ดังนั้น จีนจึงพยายามจะเล่นบทกาวใจให้มีการเจรจา อย่างน้อยก็ให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อจำกัดความเสียหาย
ปักกิ่งประเมินแล้วว่า แม้ระบอบการปกครองของทหารภายใต้มิน อ่อง หล่าย จะดูอ่อนแอลงไปมาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับล่มสลายในระยะอันสั้นนี้
ที่น่าสนใจคือ มุมมองเดียวกันนี้ก็เป็นของสหรัฐฯ พันธมิตรตะวันตก และเพื่อนบ้านของเมียนมาอย่างไทย, อินเดีย, บังกลาเทศ และ สปป.ลาวด้วย
ประเทศเพื่อนบ้านย่อมไม่ต้องการเห็นความไร้เสถียรภาพตรงชายแดน
และไม่อยากเห็นการค้าชายแดนหดตัวลง
ที่สำคัญคือ ไม่ต้องการเห็นภาพผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาเพราะความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น
สาเหตุล่าสุดเพราะกองทัพพม่าประกาศบังคับเกณฑ์ทหาร
หลายประเทศในภูมิภาคสนับสนุนบทบาทไกล่เกลี่ยของจีนที่ไม่โฉ่งฉ่างนัก
แกนนำของรัฐบาลทหารพม่าออกมาเตือนประชาคมระหว่างประเทศอยู่เสมอว่าอย่าแทรกแซงกิจการภายในของตน
แม้บางครั้งก็ยังชี้นิ้วกล่าวหาว่าอาเซียนพยายามจะก้าวก่ายเรื่องภายใน
แต่พอจีน “เบ่งกล้าม” ขึ้นมาบ้าง มิน อ่อง หล่าย ไม่กล้าหือเพราะจีนถือเป็น “พี่ใหญ่ทางเหนือ” ที่มีทั้งอำนาจและบารมี
อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่า จีนกำลังช่วยทั้งฝ่ายต่อต้านโดยเฉพาะกลุ่มโกกั้งและฝ่ายกองทัพ
เพราะปักกิ่งต้องการรักษา "ดุลแห่งอำนาจ" ในพม่าเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง
จีนมีความเชื่อว่า จะให้ระบอบทหารเมียนมาล่มสลายไม่ได้เพราะจะทำเกิดความสับสนอลหม่าน ยิ่งจะทำให้วิกฤตที่มีอยู่เลวร้ายลงไปอีก
และในสถานการณ์เช่นนั้น ผลประโยชน์ของจีนก็จะยิ่งถูกกระทบหนักขึ้นอีก
แต่ขณะเดียวกัน จีนก็เห็นว่ากลุ่มต่อต้านเริ่มจะมีอิทธิฤทธิ์มากขึ้น หากไม่คบหาเอาไว้อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับจีน
เพราะจีนรู้ดีว่า อย่างไรเสียกองทัพพม่าก็ไม่สามารถจะปราบปรามกลุ่มต่อต้านติดอาวุธทั้งหลายให้หมดไปได้
ปักกิ่งผลักดันให้มีการหยุดยิง ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรภราดรภาพกำลังเตรียมโจมตีเมืองลาเสี้ยว ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐบาลทหาร
หากมีการหยุดยิงแม้แต่เพียงระยะสั้นๆ ก็จะเป็นการเปิด “พื้นที่หายใจ” สำหรับทหารที่ตกอยู่ในภาวะเพลี่ยงพล้ำ ที่ต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
บางสำนักข่าวบอกว่าจีนกำลังผลักดันให้รัฐบาลพม่าเจรจากับนางอองซาน ซูจี และผู้นำคนอื่นๆ ของรัฐบาลพลเรือนที่ถูกโค่นในการรัฐประหารเมื่อ 3 ปีก่อน
และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องหานายทหารมาแทนที่มิน อ่อง หล่าย
ซึ่งน่าจะเป็นนายพลสายกลางที่พอจะพูดจากับกลุ่มต่อต้านอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น
เพราะจีนและหลายฝ่ายเชื่อว่ามิน อ่อง หล่าย อาจจะมีจุดยืนแข็งกร้าวเกินกว่าที่จะช่วยหาทางออกจากวิกฤตที่ยืดเยื้อนี้
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับเปลี่ยนระดับนำของกองทัพในจังหวะนี้
โดยเฉพาะขณะที่ยังมีปัญหาในการปฏิบัติการปราบปรามแก๊งหลอกลวงที่ชายแดน ซึ่งเป็นหนามยอกอกปักกิ่งอยู่ขณะนี้
ข่าวบางกระแสบอกว่า จีนมีการเชื่อมต่อกับองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ (EAO) 7 องค์กรตามชายแดนของตน
ขณะเดียวกันก็เพิ่มการติดต่อกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และ PDF ซึ่งเป็นหน่วยติดอาวุธของรัฐบาลคู่ขนาน
ข่าวบอกด้วยว่าปักกิ่งกำลังเชิญ NUG ให้เปิดสำนักงานในจีนเมื่อต้นปีนี้ที่
แน่นอนว่า กองกำลังต่อต้านจะต้องใช้ยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดในการเจรจาเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของตนกับทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายกองทัพพม่า
ค่อนข้างจะชัดเจนว่า จีนเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการภายในของเมียนมามากขึ้น นับตั้งแต่กลับมามีส่วนร่วมกับรัฐบาลทหารอีกครั้งในปลายปีที่แล้ว
การเจรจาที่คุนหมิงซึ่งมีจีนเป็นคนกลาง กำลังส่งผลกระทบต่อการเมืองของพม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะตัวละครหลักของสงครามกลางเมืองพม่า จะไม่ยอมให้การสู้รบดำเนินต่อไปอย่างไร้ความหวังที่จะหาทางสงบศึก
แต่เมื่อไม่มีใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะกำหนดทิศทางที่แน่นอนได้ เราคงจะต้องหวังว่าประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมกับ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ทั้งหลายที่จะแสวงหาสูตรที่จะตอบโจทย์ของทุกฝ่ายได้
นั่นคือการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง
ซึ่งเป็นงาน “ยากแสนยาก” เพราะความซับซ้อนของปัญหา
แต่เพราะมันยาก เราจึงต้องยิ่งทุ่มเทสรรพกำลังมากขึ้น!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว
อองซาน ซูจี: เสียงกังวล จากลูกชายในวันเกิดที่ 79
วันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมาคือวันเกิดที่ 79 ของอองซาน ซูจี...ในวันที่เธอยังถูกคุมขังเป็นปีที่ 4 หลังรัฐประหารโดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2021