จีนมองการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯในปลายปีนี้ด้วยความกระวนกระวายใจไม่น้อย
เพราะประธานาธิบดีสี จิ้นผิงย่อมตระหนักว่าไม่ว่าใครจะเข้ามานั่งทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้ง ปักกิ่งก็คงจะยังโดนกดดันจากมหาอำนาจหมายเลบหนึ่งอยู่ดี
แต่น่าสนใจว่าถ้าต้องเลือกระหว่างโจ ไบเดนและโดนัลด์ ทรัมป์, สี จิ้นผิงจะเลือกใคร
ผู้เชี่ยวชาญจีนบอกว่า “ทั้งไบเดนและทรัมป์ก็เหมือนยาพิษ 2 ถ้วย...เลวร้ายพอ ๆ กัน และเราก็ต้องตั้งรับให้ได้ไม่ว่าในกรณีใด”
ไบเดนใช้วิธีการกดดันจีนผ่านการดำเนินการระดับทวิภาคีและความร่วมมือระดับภูมิภาค
ในขณะที่ทรัมป์จะใช้วิธีฟาดฟันฝ่ายเดียวและที่น่ากลัวคือ “ไม่อาจคาดเดาได้” เลยว่าจะพลิกกลับไปมาอย่างไรเมื่อไหร่
ถ้าย้อนดูจากอดีต สีอาจจะมองดูทรัมป์ว่า “น่าคบ” กว่าไบเดนเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด จีนจะคาดหวังว่าผู้นำคนต่อไปของอเมริกาจะละเมิดผลประโยชน์หลักของตนให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะกรณีไต้หวัน
ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าสี จิ้นผิงคิดอย่างไ แต่นักวิเคราะห์บางสำนักเชื่อว่าผู้นำจีนมันอาจจะเอนเอียงไปทางนายทรัมป์เล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์ของจีนต่อการคบหาทั้งสองผู้นำสหรัฐฯที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ที่ฮ่องกงยางคนเชื่อว่าที่จีนอาจจะโอนเอียงไปทางทรัมป์อาจจะเพราะเขาอาจจะทำให้ยุโรปกับสหรัฐฯห่างเหินกันมากขึ้น
จีนต้องการจะหว่านล้อมให้ยุโรปหันมาคบกับตนมากกว่าที่จะผูกติดเหนียวแน่นกับสหรัฐฯอย่างที่ไบเดนพยายามทำ
และในกรณีนี้ ไบเดนน่าจะผูกสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปได้ดีกว่าทรัมป์
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด สิ่งที่จีนคาดหวังเป็นพื้นฐานจากผู้นำคนต่อไปของอเมริกาก็คือประเด็นต่างๆ ที่ถือว่าเป็น “เส้นสีแดง” ที่ห้ามข้าม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่องเอกราชของไต้หวัน
จีนกล่าวหาว่าวอชิงตันพยายามจะสกัดกั้นไม่ให้จีนโต ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศอยู่ในภาวะที่ตึงเครียดต่อเนื่อง
หนึ่งในสัญญาณของความระแวงต่อกันที่เพิ่มดีกรีขึ้นและอาจนำไปสู่ประเด็นการดีเบนในการหาเสียงลือกตั้งสหรัฐฯ ก็เรื่อง TikTok
พอสภาผู้แทนฯสหรัฐฯผ่านร่างกฎหมายแบน apps ยอดนิยมนี้หาก Bytedance เจ้าของไม่ขายหุ้นออกภายใน 6 เดือนจีนก็ตอบโต้อย่างดุเดือด
และยืนยันว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจจีนในต่างประเทศอย่างสุดความสามารถ
คนอเมริกันต้องเลือกระหว่าง “ผู้เฒ่า” สองคนคือไบเดนวัย 81 และทรัมป์ 77 ปีตามลำดับ
ผู้ลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนประมาณ 39 เปอร์เซ็นต์ในการสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสที่กินเวลานานหนึ่งสัปดาซึ่งปิดฉากเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ชี้ว่าจะลงคะแนนให้นายไบเดน หากการเลือกตั้งจัดขึ้นในวันนี้
เทียบกับร้อยละ 38 ที่เลือกนายทรัมป์ การสำรวจได้สำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 3,300 คน ซึ่งต้องถือว่าสูสีมาก และยังจะไล่กวดกันอย่างกระชั้นชิดอย่างนี้ไปจนถึงวันหย่อนบัตรในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
เชื่อได้ว่าในบรรดาผู้นำโลกทั้งหลาย สี จิ้นผิงน่าจะเป็นคนที่เฝ้าติดตามข่าวเรื่องนี้ใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่ง
ตอนที่ทรัมป์นั่งอยู่ในทำเนียบขาวช่วง 2017-2021 เริ่มต้นดูเหมือนจะค่อนข้างราบรื่น โดยมีการประชุมแบบเห็นหน้ากันทั้งในสหรัฐฯ และจีน แต่ไม่ช้าไม่นาน ทรัมป์กับสีก็เลิกคุยกันต่อหน้า
ทรัมป์กล่าวหาปักกิ่งว่ามีแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
และในที่สุด ทรัมป์ก็ออกคำสั่งการเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มเป็นมูลค่าประมาณ 550,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยวิวาทะดุเดือดของทั้งสองฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจทั้งในและนอกเหนือสองประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก
ผลกระทบยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
ต้องยอมรับว่าทรัมป์เปลี่ยนวิถีและทิศทางของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนให้เป็นความสัมพันธ์ที่มีการแข่งขันสูงและความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
กลายมาเป็นเงื่อนไขเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดไปทั่วโลก
ตอนไบเดนชนะเลือกตั้งก็มีความคาดหวังว่าจะยกเลิกนโยบายด้านนี้ของใหญ่ของทรัมป์เมื่อเข้ารับตำแหน่งในปี 2021
แต่แล้ว ภาษีที่รัฐบาลสหรัฐฯเก็บเพิ่มจากสินค้าจีนส่วนใหญ่กลับยังคงอยู่
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้บังคับใช้การควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ระดับสูงและเครื่องมือการผลิตชิปไปยังจีน และยังหนุนให้พันธมิตรของสหรัฐฯใช้มาตรการที่คล้ายกัน
ตอนแรก จีนค่อนข้างมองโลกในแง่ดีว่าไบเดนจะช่วยแก้ไขเยียวยาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ และอาจลดอัตราภาษีศุลกากรบางส่วนในยุคทรัมป์
แต่ในท้ายที่สุด จีนก็เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นไบเดนหรือทรัมป์ อเมริกาก็มองจีนในแง่ลบอยู่ดี
เอาเข้าจริง ๆ ผู้นำจีนก็สรุปว่าทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างก็มีจุดยืนคล้ายกันเรื่องจีน
ไบเดนประกาศว่าสหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่จะ “ชนะการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 กับจีนหรือใครๆ ก็ตาม” ในขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะเข้มงวดกับภาษีอีกครั้งหากได้รับเลือก
ท่ามกลางพื้นภูมิเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะเข้ามาในสำนักงานรูปวงรีของทำเนียบขาวก็ตาม เป้าเล็งของฝ่ายบริหารนั้นก็จะได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการควบคุมประเทศจีน ความแตกต่างอยู่ที่ว่าจะดำเนินการอย่างไร
มีความเป็นไปได้ว่าถ้าหากได้รับเลือกอีกครั้ง ไบเดนจะพยายามตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานไฮเทคระดับโลกต่อไปอีก
เท่ากับเป็นการกดดันจีนอย่างต่อเนื่อง
(พรุ่งนี้: ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนหลังการเลือกตั้งปลายปีนี้)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ