เมื่อการปราบอย่างหนักหน่วง ฝั่งพม่ากลายเป็นภาระหนักของไทย

ข่าวการสู้รบในเมียนมาบริเวณใกล้ชายแดนไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เห็นภาพความรุนแรงที่ทำท่าว่าจะหนักหน่วงขึ้นอย่างชัดเจน

อีกภาพหนึ่งคือการรวมตัวของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าในเมืองกับกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธที่ฝึกปรือนักรบรุ่นใหม่อย่างคึกคัก ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าความตึงเครียดตรงชายแดนไทย-เมียนมาจะลามข้ามปีไปอย่างแน่นอน

ในช่วงเดียวกันนั้นก็มีภาพและคำยืนยันจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่าทหารเมียนมา “สังหารหมู่” ชาวเมียนมาอย่างน้อย 35 คน รวมทั้งเด็กและผู้หญิงที่รัฐกะยา เป็นการใช้วิธีปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมจนสหประชาชาติประกาศว่าจะต้องเข้ามาสอบสวนทวนความเพื่อหาผู้รับผิดชอบ

สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดการสู้รบระหว่างทหารเมียนมาที่สนธิกำลังกับกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือบีจีเอฟ ยิงปะทะกับกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยง KNLA และกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ที่บริเวณพื้นที่หมู่บ้านเลเกกอและหมู่บ้านมอโท้ตะเล หรือบ้านแม่ทอดตะเล เขตจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา

นั่นคือฝั่งตรงข้ามกับบ้านดอนไชยริมเมย หมู่ที่ 6 ต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก

หลังจากกองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิงมานาน 3 วัน

กลางดึกของคืนหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน เวลาประมาณ 23.00 น. ข้ามมาถึงช่วงเวลา 01.00 น. ของช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ชาวบ้านในฝั่งชายแดนอำเภอ แม่สอดกำลังนอนหลับอยู่ภายในบ้านพักก็มีอันต้องตกใจตื่นนอน เพราะได้ยินเสียงเครื่องบินรบของกองทัพเมียนมาบินวนหลายรอบ

จากนั้นเครื่องบินก็ทิ้งระเบิดขนาดใหญ่หลายลูกเสียงสนั่นหวั่นไหว เข้าถล่มพื้นที่เป้าหมายทางทหารและหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงจำนวน 2 จุดพร้อมกันคือในหมู่บ้านเลเกกอและหมู่บ้านแม่ทอดตะเล จังหวัดเมียวดีของพม่า

ในขณะเดียวกันทหารฝ่ายเมียนมาในภาคพื้นดินเปิดฉากระดมยิงถล่มเป้าหมายของทหารเคเอ็นยูทั้ง 2 แห่งด้วยอาวุธหนักเป็นปืน ค.81 มม. และปืน ค.120 มม. ระดมยิงถล่มเป้าหมายเคเอ็นยูอย่างหนัก เป็นการยิงแบบอย่างต่อเนื่อง

ชาวเมียนมาต่างวิ่งหนีตายข้ามมาตลอดแนวตะเข็บริมแม่น้ำเมยข้ามมาฝั่งไทยกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 และชุดเคลื่อนที่เร็วกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอแม่สอดที่ 3 ต้องนำกำลังเข้าไปรับตัวชาวเมียนมาที่อพยพหนีตาย นำไปรวมตัวที่สนามกีฬาบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง หมู่ที่ 9 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งตั้งเป็นพื้นที่แรกรับปลอดภัย ที่รับตัวผู้หนีภัยการสู้รบเป็นการชั่วคราว ตามแผนที่ฝ่ายความมั่นคงอำเภอแม่สอด ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ

กระทรวงต่างประเทศรายงานต่อมาว่า ภายในไม่กี่วันนั้นมีชาวเมียนมาหนีข้ามแม่น้ำเมยมาฝั่งไทยในช่วง 16-21 ธันวาคม ทั้งหมด 4,216 คน ส่งกลับไปแล้ว 861 คน เหลือ 3,355 คน

ถึงวันนี้ที่กำลังติดตามสถานการณ์ตรงชายแดนแม่สอดอยู่นั้น ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลทหารเมียนมาจะยอมลดราวาศอกการถล่มทางอากาศ อันเป็นวิธีการต่อสู้ที่ละเมิดกติกาสากล เพราะการทิ้งระเบิดจากทางอากาศลงสู่หมู่บ้านที่มีพลเรือนมากมายนั้นย่อมไม่ถูกด้วยหลักปฏิบัติสากล

เป็นที่มาของการเรียกร้องจากฝ่ายต่อต้านในเมียนมาขอให้สหประชาชาติใช้มาตรการ No-Fly Zone หรือการห้ามบินในบริเวณของการสู้รบเพื่อไม่ให้มีการสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบโดยตรง

ในขณะเดียวกันนั้นเราก็เริ่มเห็นภาพและข่าวเกี่ยวกับการเข้าร่วมฝึกอาวุธของหนุ่มสาวพม่าในป่ากับนักรบชาติพันธุ์ในจุดใกล้ๆ กับชายแดนไทยเช่นกัน

สำนักข่าวต่างประเทศที่บุกเข้าไปในป่าพบค่ายกลางหุบเขาในรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมาใกล้ชายแดนไทยได้เห็นกิจกรรมที่ชาวบ้านฝึกการบรรจุลูกกระสุนปืนไรเฟิล จุดระเบิดทำมือ และร่วมฝึกซ้อมกับสมาชิกกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเตรียมต่อสู้กับกองทัพบกเมียนมาหลังการก่อรัฐประหาร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา

สำนักข่าวรอยเตอร์เก็บภาพหายากของหนุ่มสาวพม่าที่บอกว่าพวกเขาทิ้งหน้าที่การงาน เปลี่ยนเสื้อผ้าแฟชั่นเป็นชุดลายพรางทหารเพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับกลุ่มกองกำลังนี้

หนุ่มสาวผู้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐประหารเหล่านี้บอกว่าพวกเขาหันมาจับอาวุธ เพราะการประท้วงต่อต้านรัฐประหารทั่วประเทศที่ผ่านมายังไม่มีผลกระทบต่อรัฐบาลทหาร ขณะที่รัฐบาลทหารยังใช้วิธีปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงอย่างรุนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง

ชายวัย 34 ปีคนหนึ่งบอกนักข่าวว่า แม้พวกเขาจะต้องเผชิญกับกองทัพเมียนมาที่มีทหารถึง 300,000 คน แต่ก็ได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้ เพราะมีความภาคภูมิใจว่าแม้จะต้องเสียชีวิตก็ยังเป็นการช่วยปกป้องประชาชนได้

แผ่นหลังของเขาสักคำว่า Freedom to Lead ซึ่งสะท้อน “เสรีภาพในการรับบทผู้นำ” และภาพใบหน้าของนางออง ซาน ซูจี อดีตผู้นำพลเรือนเมียนมาที่ถูกคุมตัวระหว่างการทำรัฐประหาร กลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำการฝึกสอนการใช้อาวุธให้กับคนรุ่นใหม่จากเมืองเหล่านี้คือกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาที่ร่วมสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงต้านรัฐประหาร

การก่อตั้ง “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” หรือ People’s Defence Force (PDF) เป็นการรวมตัวของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่มเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหารอย่างต่อเนื่อง

ช่วงหลังมีหนุ่มสาวจากเมืองที่หนีการปราบปรามของกองทัพมาร่วมสู้รบด้วยเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่ยังต้องพิสูจน์ว่าจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในดุลแห่งอำนาจในเมียนมาได้มากน้อยเพียงใด

และการที่กองทัพเมียนมาใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ย่อมแสดงถึงความหวาดกลัวต่อพลังที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ประเทศไทยกลายเป็นผู้ต้องรับภาระของปัญหาที่กองทัพพม่าสร้างขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

ถ้า มิน อ่องหล่าย ไม่สนใจว่าไทยคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เราจะยังใช้นโยบาย “ตั้งรับ” อย่างนี้ต่อไปได้อีกนานเพียงใด?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ