อุ๊ย..น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์..
“สิทธิสตรี คือ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เราทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ทุกคน คือคนเท่ากัน
ดังนั้น ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ดิฉันรู้ถึงบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันของผู้หญิง บางคนเป็นแม่ บางคนเป็นลูกสาว เป็นพี่สาว เป็นน้องสาว
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน ‘สิทธิ’ ที่ควรได้รับต้องแตกต่างกันค่ะ”
ดู๋..ดู ช่างกล้าพูด-กล้าเขียน.. “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันทุกคน” แล้วมนุษย์คนไหนล่ะที่ “เอาเปรียบ” ทุกคนอยู่ร่ำไป
มนุษย์ตระกูลไหนหือ ที่สร้างความ “ไม่เท่าเทียม” ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย และชาวโลก แล้วนี่ก็อยู่ระหว่างเตรียมการจะสร้างความไม่เท่าเทียมต่อภาคสองอีกแล้ว..
กับ “โครงการพาน้องกลับบ้าน โดยไม่ต้องนอนเรือนจำสักวันเดียว”!
“คนเท่ากัน” ..อย่าพูดให้เหม็นขี้ฟันเลยเนาะ ฉอเลาะเจ๊าะแจ๊ะเรื่องแบรนด์นง-แบรนด์เนม เสื้อผ้าอาภรณ์แพงๆ ตามประสาเศรษฐินีไปวันๆ จะน่าฟัง-น่าเชื่อถือเสียมากกว่า!
พูดเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เรื่องความเท่าเทียม เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เรื่องการต่อสู้กับกระบวนการไม่ยุติธรรม..ควายเท่านั้นที่เชื่อ!
เออ..ส่วนเรื่องที่จะคุยต่อจากนี้ไม่ต้องเชื่อก็ได้ แค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ คือ ผมมีเพื่อนอยู่คน จะเรียกว่า “เซลส์แมน” รึเปล่าไม่แน่ใจ เอาเป็นว่าเป็น “คนขายของ” ก็แล้วกัน..
และของที่ขายนั้นก็มีหลากหลายเรียกว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ!
การขายของของเพื่อนก็ไม่ได้พิเศษ-พิสดารอะไร นอกจากขายในกรุงเทพฯ แล้ว บางครั้งก็ขนใส่รถขับออกไปขายยังต่างจังหวัดทั่วทุกเขตแคว้น
เหนื่อย-ลำบากหน่อยแต่เพื่อนบอกมีความสุข..คือสุขที่ไม่ต้องทนฟังเมียบ่น สุขที่ได้ไปพบปะผู้คนแปลกหน้า สุขที่ได้กิน-ได้สูดอากาศดีๆ..
รวมทั้ง สุขที่ได้หาเศษ-หาเลย สุขที่ได้ขายของได้ดีมีกำไร!
และสุขที่สำคัญ คือได้เล่นไลน์ เล่นเฟซ ส่องไอจีดาราสาวสวยเซ็กซี่ คุยโทรศัพท์กับกิ๊กโดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ตา-หูเมีย!
เพื่อนไม่ใช่คนเจ้าชู้หรอกครับ แต่ตามประสาผู้ชายนั่นแหละ เห็นสะโพกสะบึมๆ เป็นไม่ได้.. “ชอบ” สารภาพว่างั้น!
เวลานี้ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน-ติด กทม. วางคิวเดินสายไปจังหวัดโน้น จังหวัดนี้แน่นเอี้ยดยิ่งกว่าวงปู พงษ์สิทธิ์ วงคาราบาว จนอดที่จะสงสัยไม่ได้
ยิ่งได้ยินเพื่อนอีกคนกระซิบข้างหู.. “ไอ้..(สงวนนาม) มันมีสาวใหญ่ แต่มันลำบากใจเวลาอยู่กับเมียที่บ้าน จะคุยจะหยอกเอินหรือจะบอกรักกันก็กลัวเมียจะได้ยิน”
ก็ยิ่งให้คิด..ที่เพื่อนพยายามขับรถไปขายของ-ขายสินค้าไกลๆ แท้จริงด้วยเจตนานี้ ซึ่งใจหนึ่งก็ให้เห็นใจมัน แต่อีกใจก็ให้สงสารเมียมัน ที่โดนผัวหลอก!
เนี่ย..ใครจะเป็นอย่างเพื่อนผมบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่ควรรู้ เรื่องพรรค์อย่างนี้แหละที่ถือเป็น “ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง” ตามที่โบราณว่า.. “เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร”!
ผมไม่ชอบและไม่สนับสนุนให้เพื่อนนอกใจเมีย แต่ผมก็ไม่ขัดขวาง หากเพื่อนจะออกนอกลู่-นอกทางไปบ้างในบางครั้ง
กระนั้น ก็ใคร่อยากจะเตือนเพื่อน (ถ้ามันไม่ย้อนเอา) อย่าย่ามใจกับการหลอกลูก-เมียได้ เพราะจะอย่างไรไม่วันใดก็วันหนึ่ง..กรรมนั้นจะต้องปรากฏ!
จริงอยู่..เพื่อนเป็นคนธรรมดาสามัญ เมียรู้ เมียจับได้ก็แค่ผรุสวาทใส่กันให้พอบ้านใกล้เรือนเคียงได้เอาไปซุบซิบนินทา
ไม่เหมือนคนดัง คนมีอำนาจ หากพลาดเรื่องพรรค์อย่างงี้ขึ้นมา ย่อมจะเป็นที่อับอายขายหน้า ทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และตำแหน่งแห่งหนได้
เอ้า..แล้วผมคุยเรื่องเพื่อนทำไมเนี่ย หรือเป็นเพราะว่าระยะนี้เห็นมีข่าวคนใหญ่คนโต เดินสายออกต่างจังหวัดบ่อย เลยทำให้คิดเห็นใบหน้า-พฤติกรรมเพื่อนคนนี้ขึ้นมา..
งั้นก็..บายๆ จบ!.
สันต์ สะตอแมน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เก็บเชือกไว้ใช้เองเถอะ
“เส้นกูใหญ่.. ใครก็ทำกูไม่ได้ ใครก็เอากูไม่ลง เพราะกูใหญ่ ใหญ่ยิ่งกว่านายพล ใหญ่กว่านายกรัฐมนตรี ใหญ่กว่า... ใหญ่กว่าทั้งหมด กูแบ็กดี
คิดถึงนักรบลุง
กองเชียร์ กองหนุน กองรักลุงตู่.. มีใครพอจะทราบไหมว่า ตั้งแต่ปีเก่าจนลุเข้าปี 2568 บุคคล 2 ท่าน คุณแรมโบ้ คุณอ้น ทิพานัน ที่เคยร่วมรบเคียงบ่า-เคียงไหล่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หายหน้า-หายตาไปไหน?
เรื่องเล่าที่ชวนขนลุก
เห็นตัวเลขแล้วตาลาย.. งั้นสรุปเอาจากข่าวโปรย “ผู้จัดการออนไลน์” ก็แล้วกัน.. “ป.ป.ช.เปิดทรัพย์สิน ‘นายกฯ แพทองธาร’ พร้อมสามี มั่งคั่งแตะ 1.4 หมื่นล้าน หนี้ 4 พันกว่าล้าน มีกระเป๋า 217 ใบ รถ 23 คัน
นักการเมืองไม่ใช่อาชญากร?
ก่อนจะสิ้นปี.. นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต บิดานายกรัฐมนตรีแพทองธาร ผู้นอบน้อมถ่อมตน (ยามอยู่ไกลบ้าน)..จะกลับมาเลี้ยงหลาน เลิกข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง..
ประชาชนควรพึ่งประชาชน
วันนี้-1 มกราคม.. เริ่มต้นปฏิทินหน้าแรกของปีใหม่ พ.ศ.2568 ก็ขออนุญาตกล่าวคำอำนวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงมีแต่ความสุข ความสมหวัง ไม่เจ็บ ไม่จนกันนะครับ!
ผลพวงจาก 'ฉายา'
หยิกแกมหยอก หรือเหน็บแนมทีเล่นทีจริงพอได้ยิ้มหัว นั่นคือ เจตนารมณ์ ความตั้งใจแรกในการมอบฉายาให้กับ “ดารา นักร้อง คนบันเทิง” ที่ผม (สันต์ สะตอแมน) ได้เสนอต่อนายกสมาคมนักข่าวบันเทิงในยุคนั้น