บันทึกหน้า 4

หลังทุกฝ่ายออกมาแสดงการปกป้องสถาบันฯ หลังกลุ่มทะลุวัง นำโดย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน ผู้ต้องหาความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากเหตุการณ์ขับรถยนต์พยายามขับแทรก และบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ขณะหารือกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอกำชับคือเรื่องมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของบุคคลสำคัญ เพื่อไม่ให้ประเด็นนี้กลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้โจมตีทางการเมืองของทุกฝ่าย หรือมือที่สามมาฉวยสร้างสถานการณ์

ต่อมา "ผบ.ตร." กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเรียกไปพบพร้อมกำชับเรื่องการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ 

"เรื่องการถวายความปลอดภัยพวกเรา​(ตำรวจ)​ ดูแลพระองค์ท่านด้วยชีวิต​ พวกพี่ดูแลด้วยชีวิตของพวกพี่จริงๆ"

เมื่อถามว่า เยาวชน 2 คนที่ก่อเหตุมีคดีติดตัวอยู่จะดำเนินการอย่างไร พลตำรวจเอกต่อศักดิ์​ระบุว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนของ บช.น.กำลังดำเนินการอยู่ ถ้างั้นขอรออีก 2 วันเพื่อให้พยานหลักฐานใหม่ในการแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จสิ้น และยอมรับว่าจะมีการถอนประกันต่อศาล 

ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ​ระบุว่า ที่ออกมาไม่ได้หิวแสง​ หรือรังแก และที่ออกมาช้าก็อยากจะทำให้ละเอียด​ พร้อมย้ำว่าจะไม่มีการหว่านหรือรังแก​ หากสอบพยานถือใครก็คนนั้น โดยในช่วงท้าย ผบ.ตร.ระบุว่า หากพยานหลักฐานสาวถึงใครเราก็จะเรียกมาทั้งหมด และจากการสอบสวนมีแนวทางว่า​ มีคนช่วยเหลืออย่างแน่นอน​

ส่วนจะเรียกผู้อยู่เบื้องหลังมาพูดคุยหรือไม่นั้น ผบ.ตร.​ยืนยันว่า​ ขณะนี้ได้รายงานนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกขั้นหนึ่ง

เรื่องนี้คงไม่ธรรมดา และคาดจะลุกลาม แม้แนวร่วมเดิมยังต้องชิ่งหนี "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลขอให้แยกเป็นคนละส่วนกัน และไม่เกี่ยวข้องกับปมเคยเป็นนายประกัน 

แม้ความพยายามชิ่งหนีแต่ก็ไม่วายถูกขุดการกระทำในอดีต ที่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้มีความจริงใจ แต่เป็นเพราะโหนกระแสคนรุ่นใหม่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง 

โดยคลิปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่รัฐสภา "พิธา" สมัยยังเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในฐานความผิดจากการแสดงออกทางการเมือง ตอนหนึ่งว่า  

 “ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวันและคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิมลูกสาวของผมอยู่ในนั้น บูมเมอแรงปาออกไปมันกลับมาหาเรา ผู้แทนราษฎรในที่นี้ มีพ่อแม่ของเราที่สู้มาก่อน มีเราที่กำลังสู้อยู่ และมีลูกหลานของท่านที่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าวันหนึ่งเขาอาจเอาชีวิตเข้าไปแลกกับเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นพลเมือง อาจเป็นลูกของผมก็ได้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของเราทุกคนในประเทศไทย การที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่มีสิทธิเสรีภาพ ก็เท่ากับไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเที่ยงตรงกับคนไทยทั้งประเทศเช่นกัน” พิธาระบุ

ขณะที่เพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้โพสต์ข้อความพร้อมเปิดจดหมายของนายพิธา ที่เขียนด้วยลายมือถึง น.ส.ทานตะวัน และ น.ส.อรวรรณ เมื่อต้นปี 66 ที่ผ่านมา ระบุว่า "ผมขอคารวะหัวจิตหัวใจความกล้าหาญของทั้งคู่มาก ผมเองละอายใจ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สังคมได้ลืมตาตื่นขึ้น เห็นถึงความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพราะผม เพราะพรรคก้าวไกล พวกเราทำน้อยเกินไป พวกคุณคือคนผลักดันสังคมมาถึงจุดนี้

ภารกิจในส่วนของคุณสำเร็จแล้ว จากนี้เป็นหน้าที่ของพวกเรา และพรรคก้าวไกล เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยกัน และผมต้องการให้คุณอยู่ร่วมฉลองชัยชนะของประชาชนร่วมกับเราทุกคน"

ทั้งนี้ เพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไรระบุข้อความด้วยว่า "ทุกคนคะ สมัยตะวันอยู่ในคุก แดดดี้ (นายพิธา) ยังกระเสือกกระสน เขียนจดหมายไปออดอ้อน หยอดคำหวาน อยู่เลยค่ะ แต่ตอนนี้ "แดดดี้" หายหัวไม่เห็นแม้แต่เงา คุณเป็นผู้ชายแบบไหนกันคะ คุณพิธา!!".

 

ช่างสงสัย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บันทึกหน้า 4

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาส่งผลถึงประเทศไทยอย่างรุนแรง ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่พังถล่มลงมา เป็นการประจานระบบราชการไทยและรัฐบาลอีกครั้ง สำหรับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

บันทึกหน้า 4

” แผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมาส่งแรงสะเทือนถึงประเทศไทย ไม่เพียงทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตึก สตง.ถล่ม และต่อมายังมีตึกราชการต่างๆ เริ่มทรุดตัว

บันทึกหน้า 4

รายงานสถานการณ์จากศูนย์เอราวัณ กรณีเหตุแผ่นดินไหว ข้อมูล ณ เวลา 06.00 น. พบว่า ในขณะนี้พบผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 32 ราย เสียชีวิต 17 ราย และสูญหาย 83 ราย

บันทึกหน้า 4

หลังเปิดแผลรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยุทธการจากนี้ต้อง “โรยเกลือ” เพื่อให้แผลแสบเจียนตาย เมื่อฝ่ายค้านมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบ “นายกฯ อิ๊งค์” มีน้ำหนักและมัดแน่น ก็จงยื่นตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องของ “นิติสงคราม” หากมัวแต่คิดแบบนั้นเท่ากับติดกับดักความคิดตัวเอง

“ศรีสะเกษยั่งยืน”

จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นยุทธศาสต์สำคัญทางการเมือง หากพรรคใดช่วงชิงได้ ก็มีโอกาสจะขยายความนิยมครองพื้นที่ในดินแดนอีสานใต้

บันทึกหน้า 4

ในที่สุด “ลิเกการเมือง” ว่าด้วยศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จบอย่างเป็นทางการแล้ว โดย มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 488 เสียง ก็ลงมติเห็นด้วยในการไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ไว้วางใจ 319 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ซึ่งก็เรียบร้อยตามที่ “นายใหญ่” สั่งมานั่นเอง ...๐