ระวัง 'นายใหญ่' พาจน

ซุ่มเสียงพรรคเพื่อไทย ค้านนิรโทษกรรม ม.๑๑๒ ดูอ่อนลง

จากที่ยืนยันหัวชนฝา กฎหมายนิรโทษกรรม ต้องไม่รวมผู้กระทำผิด ม.๑๑๒

ผ่านไปแค่ข้ามคืน แทงกั๊ก อ้างว่าฟังความรอบข้างก่อน

เป็นความเปลี่ยนแปลงฉับพลันหลังอัยการออกมาพูดเรื่อง "อายัด" ตัว "น.ช.ทักษิณ ชินวัตร" จากคดี ม.๑๑๒

วานนี้ (๘ กุมภาพันธ์) "ชูศักดิ์ ศิรินิล" ที่รับหน้าที่เป็น ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของสภาผู้แทนราษฎร พยายามไกด์ไลน์ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่จะยกร่างกันในเร็วๆ นี้

"...แนวทางการพิจารณานิรโทษกรรม ให้แก่ผู้ที่มีความเห็นต่าง และอาจนำไปสู่การนิรโทษกรรมผู้ต้องโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ นั้น ต้องฟังความคิดเห็นกัน อย่าไปด่วนสรุปว่าจะมีหรือไม่มีอะไร ต้องดูรอบด้าน อย่าไปถึงขั้นฟันธงเลย...”

ก่อนหน้าเพียง ๑ วัน "ภูมิธรรม เวชยชัย" บอกว่า...

"...เรายืนยันชัดเจนอยู่แล้วเรื่อง ๑๑๒ ต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนก่อน เพราะว่าเป็นประเด็นความขัดแย้ง ถ้าคุยกันยังไม่จบ และเสนอเข้ามาแล้วมีเรื่อง ๑๑๒ ก็จะเป็นปัญหา..."

เมื่อพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจุดยืนเช่นนี้ ก็ควรจะมีความชัดเจนที่เป็นทางการในนามพรรค เพราะการนิรโทษกรรมที่รวมไปถึงผู้กระทำผิด ม.๑๑๒ ด้วยนั้น เป็นประเด็นที่ล่อแหลมที่อาจทำให้การออกกฎหมายนิรโทษกรรมในครั้งนี้ ซ้ำรอยกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

คือก่อความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ขึ้นมาอีก

โดยตัวมาตรา ๑๑๒ ในประมวลกฎหมายอาญา มีเพื่อปรามไม่ให้ก่อความผิดที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะการจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ใช่การหมิ่นประมาทระหว่างบุคคล

แต่มีความมั่นคงแห่งรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ที่ผ่านมาจึงมีผู้เจตนาทำผิดซ้ำซาก

และท้าทาย

เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงตามที่ตัวเองต้องการ

อาศัยกติกาตะวันตกบีบเพื่อให้เกิดภาพกฎหมายไทยมีความล้าหลัง

ฝั่งผู้ร้องมองเห็นถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น การจะเหมาว่าใช้ ม.๑๑๒ เพื่้อการกลั่นแกล้งทางการเมือง ก็ไม่อาจกล่าวอ้างได้อย่างเต็มปาก แม้จะมีนักการเมืองบางส่วนใช้ ม.๑๑๒ เพื่อขจัดฝ่ายตรงข้าม

เพราะมีการเจตนาทำผิด ม.๑๑๒ เพื่อหวังผลทางการเมืองเช่นกัน

ทางออกเรื่องนี้จึงควรปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรม

ส่วนการแก้ไข ม.๑๑๒ สามารถทำได้ ต้องไม่ใช่ด้วยวิธีการของพรรคก้าวไกล

แต่ถือเป็นเรื่องดีที่ "ชูศักดิ์ ศิรินิล" จะเชิญ "ศ.ดร.คณิต ณ นคร" ประชุมกรรมาธิการฯ ด้วย เพราะมีการศึกษาเรื่องนิรโทษกรรมมาพอสมควร

หากยังจำได้กัน หลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง มีรายงานฉบับสมบูรณ์ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ชุดที่มี "ศ.ดร.คณิต ณ นคร" ออกมาเพื่อให้รัฐบาลนำไปเป็นแนวทางในการสร้างความปรองดอง

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เก็บเข้าลิ้นชัก เนื่องจากไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

รายงานฉบับนี้ระบุถึงความขัดแย้งที่สืบเนื่องมาจาก ม.๑๑๒ รวมทั้งข้อเสนอแนะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้แทบไม่มีนักการเมืองคนไหนเปิดอ่าน

จับมาปัดฝุ่นอีกครั้งครับ...

"...การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับประเด็นและความขัดแย้งในทางการเมือง ทำให้ปัญหาทางการเมืองลุกลามบานปลาย จนเกิดความแตกแยกของประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และส่งผลให้คนบางส่วนเกิดการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทำการจาบจ้วงหรือกระทบกระทั่งต่อสถาบัน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังปรากฏว่ามีการนำกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมือง โดยโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเกิดความคับแค้นใจ และส่งผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คอป. จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้                คอป. เห็นว่าข้อเสนอแนะที่ผ่านมาของของ คอป. เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยังไม่ได้รับการปฏิบัติตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการเมือง พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ซึ่งยังคงพาดพิงหรือมีพฤติกรรมที่นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นทางการเมือง

คอป. ขอให้ทุกภาคส่วนตระหนักว่าการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองจะยิ่งทำให้สถาบันตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ คอป. ขอเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ คอป.ว่า

 “ในห้วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ ทุกฝ่ายควรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะยกย่องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นสถาบันที่อยู่เหนือจากความขัดแย้งทางการเมือง”

และทุกฝ่ายต้องงดเว้นการกล่าวอ้างถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

คอป. เรียกร้องให้นักการเมือง พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองหารือกันอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้เกิดผลอันเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมือง โดยอาจกำหนดชัดเจนเป็นวาระแห่งชาติ

เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดภายใต้รัฐธรรมนูญและสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย

คอป. เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา มีการระวางโทษในอัตราที่สูง ไม่ได้สัดส่วนกับความผิด จำกัดดุลพินิจของศาลในการกำหนดโทษที่เหมาะสม ไม่มีความชัดเจนในขอบเขตที่เข้าข่ายตามกฎหมาย

และยังเปิดโอกาสให้บุคคลใดๆ สามารถกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีได้ ทำให้กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือกำจัดศัตรูในทางการเมือง

คอป. จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและรัฐสภาจักร่วมกันแสดงความกล้าหาญในทางการเมือง เพื่อขจัดเงื่อนไขของปัญหาจากกฎหมายดังกล่าวด้วยการแก้ไขกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยศึกษานโยบายทางอาญาของประเทศต่างๆ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาปรับใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย ทั้งนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในสังคมไทย การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลและรัฐสภาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่าจะไม่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมีกระบวนการที่เปิดให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง เพื่อแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว

คอป. จึงเห็นว่า รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันมีความเป็นเอกภาพ และดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยกำหนดให้มีกลไกหรือองค์กรในการกำหนดนโยบายทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะคดี และกลั่นกรองคดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบัน

โดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนา แรงจูงใจในการกระทำ สถานภาพของบุคคลที่กระทำ บริบทโดยรวมของสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำและการดำเนินคดี โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นจากการถวายพระเกียรติยศสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ

ครับ...รายงานฉบับนี้เผยแพร่ปี ๒๕๕๕ ขณะที่ความขัดแย้งประเด็น ม.๑๑๒ ยังไม่มากเท่าปัจจุบัน

ก่อนปี ๒๕๕๕ การเจตนาทำผิด ม.๑๑๒ เพื่อหวังผลทางการเมือง เกิดขึ้นน้อยมาก

เมื่อพฤติกรรมการทำผิด ม.๑๑๒ เปลี่ยนไป มีเจตนานำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ขัดแย้ง

ล่าสุดมีความพยายามจะขัดขวางขบวนเสด็จฯ อ้างว่าปิดถนนทำให้รถติด

ทั้งๆ ที่ไม่มีการปิดถนน แต่เป็นการขับรถจี้ท้ายขบวนเสด็จฯ และบีบแตรไล่ 

ฉะนั้นหากจะใช้รายงานของ คอป. เป็นต้นแบบ สิ่งที่ต้องเติมคือ ขบวนการล้มล้างสถาบันได้เผยตัวตนออกมาชัดเจน ต่างไปจากความขัดแย้งเหลือง-แดง ในอดีตอย่างสิ้นเชิง

การนิรโทษกรรม ม.๑๑๒ จึงมีผลไม่ต่างจากการจุดไฟความขัดแย้งรอบใหม่

ครั้งนี้เป้าหมายคือการล้มล้าง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทักษิณ' ตายเพราะปาก

แนวโน้มเริ่มมา... ปลาหมอกำลังจะตายเพราะปาก เรื่องที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ไปปราศรัยใหญ่โต เวทีเลือกตั้งนายก อบจ.หลายจังหวัด ทำท่าจะเป็นเรื่องแล้วครับ

พ่อลูกพาลงเหว

มันชักจะยังไง.... พ่อลูกคู่นี้จะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว ก่อนนี้ "ทักษิณ" ริ "ยิ่งลักษณ์" ยำ

นี่แหละตัวอันตราย

การเมืองปีงูเล็กจะลอกคราบ เริ่มต้นใหม่ ไฉไล กว่าเดิม หรือจะดุเดือดเลือดพล่าน ไล่กะซวก เลือดสาดกันไปข้าง

เบื้องหลังผู้ลี้ภัย

เริ่มต้นปีก็ประกาศกันคึกคักแล้วครับ ทั้งฝั่งตรวจสอบ "ทักษิณ" ยัน "ผู้ลี้ภัย" สำหรับ "ทักษิณ" ปีนี้น่าจะโดนหลายดอกตั้งแต่ต้นปี

วันนี้ของ "วันนอร์"

ไม่ค่อยได้เขียนถึง "อาจารย์วันนอร์" สักเท่าไหร่ เพราะไม่มีเหตุให้ต้องวิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่ฉายา “รูทีนตีนตุ๊กแก” ที่นักข่าวรัฐสภาตั้งให้ ก็ยังแอบเคืองแทน หาว่ากอดเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯ แน่น