ทางเลือกที่เหลือ:ตายเอาดาบหน้า กู้ 5 แสนล้านมาแจกหรือระงับแผน!

หากฟังเสียงของนายกฯเศรษฐา ทวีสินและรองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้ากู้เงิน 5 แสนล้านมาแจกคนละเมื่อนผ่านดิจิทัล วอลเล็ตแน่

แต่ถ้าติดตามถ้อยแถลงของรัฐบาลแต่ละขั้นตอนตั้งแต่ต้นก็จะเริ่มเห็นว่าเส้นทางค่อนข้างจะตีบตัน

เพราะเสียงติงและเตือนจากหลาย ๆ ฝ่ายทำให้เกิดอาการชะงัก

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บนเวทีมติชนคุณภูมิธรรมส่งเสียงค่อนข้างจะกร้าวว่า

รัฐบาลมาจากประชาชนเลือกมา เรื่องนี้เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยตั้งแต่หาเสียง และเมื่อตั้งรัฐบาลแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นพ้องต้องกันเรื่องนี้ อีกทั้งก็แถลงนโยบายนี้ต่อสภาก่อนจะเข้าบริหารประเทศ

คุณภูมิธรรมประกาศกร้าวว่า “ไม่มีใครขัดขวางนโยบายนี้ได้”

อีกทั้งยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤต ต้องปั๊มหัวใจด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่และรุนแรง

อีกทั้งยังขู่ว่า “ถ้าไม่ปั๊มหัวใจก็ตาย”

ตอนหนึ่งคุณภูมิธรรมพูดว่าอย่างนี้

”ดิจิทัลวอลเล็ต คือ การดึงประชาชนเข้ามากู้วิกฤตด้วยกัน แจกเงินคนละ 10,000 บาท ไม่ได้คำนึงถึงคนจนหรือรวย แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสใช้สอย เพื่อให้เกิดบรรยากาศและการเพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งจะช่วยขยับขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเครื่องจักรเศรษฐกิจหลายตัวดับลงเกือบหมด ทำให้การนำเงินไปเพิ่มกำลังซื้อ เพื่อขยับขึ้นมาหมุนวงจรเศรษฐกิจได้อีกหลายรอบ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญ แต่ยังไปไม่ได้ เพราะยังมีการตั้งคำถามอยู่ ซึ่งถือเป็นข้อพึงสังวร ไม่ใช่ข้อพึงปฏิบัติ รัฐบาลจึงจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป เพียงแต่นำข้อเสนอแนะต่างๆ มาร่วมรับฟังด้วย“

และย้ำว่า “รัฐบาลนี้เดินหน้าครับ แม้อุปสรรคมีก็จะทำ”

พร้อมสำทับว่ารัฐบาลทำแล้วก็จะรับผิดชอบเอง

ซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าหากรัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ก็ไม่มีใคร “ขัดขวาง” ได้เพราะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร

ความเห็นต่างที่เกิดขึ้นนั้นมาจากนักวิชาการและผู้มีประสบการณ์ที่วิเคราะห์ว่าการเหวี่ยงแหโยนเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มีความเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่า 

อีกทั้งมีคำเสนอแนะจากธนาคารแห่งประเทศไทย, สภาพัฒน์ฯ, คณะกรรมการกฤษฎีกาและ ป.ป.ช.ที่ส่งเสียง “เตือน” ว่าให้ศึกษาให้รอบด้านเสียก่อนเพราะมีทั้งประเด็นกฎหมาย, วินัยการเงินการคลัง, ช่องโหว่ที่อาจจะนำไปสู่การทุจริตและอาจจะสร้างหนี้ก่อนใหญ่

ทั้ง ๆ ที่ควรจะฉีดเงินลงไปเฉพาะกลุ่มซึ่งอาจจะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงเป้าและได้ผลมากกว่า

แต่ดูเหมือนรัฐบาลของคุณเศรษฐาจะไม่สนใจที่จะฟังเสียทัดทานเหล่านี้

อ้างว่าการแจกเงินไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังมีมาตรการเสริมอื่น ๆ อีกด้วย

แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดว่ามาตรการเสริมที่ว่านี้มีอะไรบ้าง และพอจะประเมินได้ไหมว่าหากมีมาตรการครบชุดแล้ว อัตราโตจีดีพีของประเทศจากนี่ไปจะไปยืนอยู่ตรงไหน

เมื่อมาถึงจุดนี้ รัฐบาลเศรษฐาก็จะต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

ทางเลือกที่เหลืออยู่คือ 

หนึ่ง ยกเลิกโครงการนี้ ยอมรับกับประชาชนว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป และเมื่อฟังเสียงเตือนจากหลาย ๆ ฝ่ายแล้วก็จึงปรับแผนด้วยการเสนอมาตรการชุดใหม่ที่ใช้เงินน้อยกว่า อาจจะไม่ต้องกู้เพิ่ม และกระจายงบประมาณออกไป 3-4 ปีข้างหน้า

ทางออกทางที่สองคือลุย!

นั่นคือออกเป็นพระราชกำหนดซึ่งเป็นอำนาจของรัฐบาลเพื่อกู้เงิน 5 แสนล้านมาแจกตามที่ประกาศเอาไว้

ที่ต้องเป็น พ.ร.ก. เพราะรัฐบาลยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะ “วิกฤต” ซึ่งต้อง “ปั๊มหัวใจ” อย่างเร่งด่วน

การออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินซึ่งต้องผ่านขั้นตอนอีกมากก็เท่ากับว่าไม่ใช่ “วิกฤต” จริง

ไม่สอดคล้องกับความเป็น “วิกฤต” ที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

จึงไม่เข้าเกณฑ์มาตรา 53 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐที่เปิดทางให้ออกเป็นกฎหมายเพื่อกู้เงินนอกงบประมาณในภาวะ “เร่งด่วน” และ “จำเป็น” และ “ต่อเนื่อง” อันเกิดจาก “วิกฤต”

พูดง่าย ๆ คือถ้ารัฐบาลยืนยันว่าประเทศกำลังเจอ “วิกฤต” ก็ต้องออกเป็นพระราชกำหนดเท่านั้น

และไป “ตายเอาดาบหน้า” ด้วยตนเอง

เพราะคุณภูมิธรรมย้ำแล้วย้ำอีกว่ารัฐบาลมีอำนาจจะทำ, ต้องทำเพราะหาเสียงเอาไว้และอยู่ในนโยบายของรัฐบาล...และไม่มีใคร “ขัดขวาง” ได้

ถามว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ออกเป็น พ.ร.ก. เสียเลย ทำไมจึงยังบอกว่าจะออกเป็น พ.ร.บ. ถึงนาทีนี้?

คำตอบคือไม่มีใครรู้ว่ากระบวนการตัดสินใจภายในรัฐบาลนั้นเป็นอย่างไร 

ใครเป็นผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลกันแน่

เพราะระดับเสียงของนายกฯเศรษฐากับของรองนายกฯภูมิธรรมก็ไม่อยู่ในระนาบเดียวกันเสมอไป

วันที่คุณภูมิธรรมทำเสียงขึงขังว่าเศรษฐกิจถ้าไม่ปั๊มหัวใจก็จะตายนั้นคุณเศรษฐาบอกนักข่าวว่า “ผมจะไม่ใช้คำว่าวิกฤตอีก เพราะไม่ต้องการสร้างวาทกรรม ผมจะใช้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี”

ขณะเดียวกัน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ของกระทรวงการคลังก็เพิ่งออกข่าวว่าจีดีพีของปี 2566 ที่ผ่านมาคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.8% และจะ “เร่งตัวขึ้นเป็น 2.8% ในปี 2567”

เหตุผลเพราะภาคการส่งออกและบริการขยายตัวสูง และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ

นั่นแปลว่า สศค. เองไม่ได้สรุปว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะ “วิกฤต” อย่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเศรษฐา ทวีสินหรือรัฐมนตรีช่วยคลังจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์หรือที่รองนายกฯภูมิธรรมได้นำเสนอต่อสาธารณชนมาตลอด

ในช่วงเวลาเดียวกัน ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ, ผู้ว่าแบ็งก์ชาติ, ก็ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะ “โตช้า” แต่ไม่อยู่ในภาวะ “วิกฤต” แน่นอน

แต่ถ้ารัฐบาลยังยืนยันว่า “วิกฤต” และมีอำนาจทางบริหารที่จะกู้เงินมาแจกก็ย่อมจะเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะดำเนินการต่อไปได้

และรับผิดชอบสิ่งที่ตามมาเต็ม ๆ

คำถามตอนนี้ก็คือหากมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ตที่มีนายกฯเป็นประธานจะผ่านความเห็นชอบกรรมการทั้งชุดหรือไม่

และหากมีกรรมการบางคนขอให้บันทึกความเห็นต่าง หรือมีจำนวนหนึ่งขอลาไม่เข้าประชุมเพราะไม่ต้องการเป็นหนึ่งในกรรมการที่เห็นด้วย (กลัวว่าหากมีการฟ้องร้องกันภายหลังจะพลอยติดร่างแหด้วย) จะเกิดอะไรขึ้น

หรือหากผ่านคณะกรรมการชุดใหญ่แล้วเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จะผ่านราบรื่นโดยไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลแสดงความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่

แม้จะออกเป็น พ.ร.ก. ก็ยังต้องขอความเห็นชอบในคณะรัฐมนตรีอยู่ดี

มาถึงจุดนี้ รัฐบาลจะซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ เห็นจะไม่ได้แล้ว เพราะเมื่ออ้างว่าเป็น “วิกฤต” ก็จะต้องเร่งตัดสินใจ

จะระงับแผนหรือจะเดินหน้าต่อก็ต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะทำหน้าที่ฝ่ายบริหารที่บอกว่าทำเพื่อประชาชนอย่างไม่ย่นระย่อแล้ว!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ