ผิดหวังได้...แต่ต้องไม่ท้อ

บ่ายของวันพุธที่ 24 มกราคม 2567 เป็นวันที่สลิ่มที่ไม่ชอบพรรคก้าวไกล เพราะไม่ชอบนโยบาย ไม่ชอบแนวความคิดทางการเมือง ไม่ชอบพฤติกรรมของแกนนำพรรค ไม่ชอบพฤติกรรมของ สส.บางคน ไม่ชอบการกระทำของผู้นำจิตวิญญาณ ไม่ชอบศาสดา รวมทั้งไม่ชอบด้อมส้มที่เป็น FC ผู้ภักดีพรรคก้าวไกล จำนวนมากรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าพิธาไม่ผิดเรื่องถือหุ้น ITV ดังนั้น พิธาก็สามารถกลับเข้าสู่สภา ทำหน้าที่เป็น สส.ได้ต่อไป

ถ้าหากเราสังเกตอาการความผิดหวังของบรรดาสลิ่มทั้งหลายนั้น เป็นความผิดหวังที่ไม่มีการโวยวายด่าทอต่อว่าศาล ไม่เหมือนกับด้อมส้มที่เป็น FC ของพรรคก้าวไกล หรือที่เรียกขานกันว่า 3 กีบที่มักจะแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล จะมีการชุมนุมแล้วก่อความวุ่นวายในบริเวณศาล แต่ตลอดบ่ายจรดเย็นจนตกค่ำ หากใครติดตามดูการโพสต์ข้อความบนพื้นที่ Social Media ของบรรดาสลิ่ม เราจะไม่พบคนที่ผิดหวังออกมาด่าทอต่อว่าศาล

ส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “ผิดหวัง แต่ก็เคารพคำตัดสินของศาล” ทั้งนี้เพราะพวกเขายังคงเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย หลายคนจะพูดว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านก็ตัดสินไปตามหลักฐานที่พิธาใช้ในการต่อสู้ข้อกล่าวหา ท่านไม่ได้ตัดสินด้วยความรู้สึกหรือจุดยืนทางการเมืองของท่าน ทุกอย่างก็เป็นไปตามหลักฐานและตัวบทกฎหมาย

อาจจะมีสลิ่มบางคนผิดหวังมาก ถึงขนาดเป็นลม ต้องส่งโรงพยาบาล บางคนถึงแม้จะไม่มีอาการทางร่างกาย แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามีอาการทางใจและมีการแสดงออกด้วยวาจา แต่ไม่ใช่วาจาที่ด่าทอตุลาการด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย แต่เป็นวาจาที่แสดงความเสียใจบ้าง แสดงความผิดหวังบ้าง แล้วก็จบด้วยความพยายามที่จะทำใจ หลายคนที่ทำใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยยังไม่ข้ามคืนก็จะมีการแนะนำเพื่อนๆ ที่ร่วมอุดมการณ์ให้ไปอ่านรายละเอียดของคำวินิจฉัย แทนที่จะมองแค่คำตัดสินของการวินิจฉัย เพราะในสำนวนที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีความละเอียดในทุกๆ ประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจและยอมรับได้ว่าทำไมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านจึงตัดสินให้พิธารอดจากข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ประเด็นที่สำคัญมีอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ 1) พิธาถือหุ้น ITV หรือไม่ และ 2) ITV เป็นสื่อหรือไม่

สำหรับข้อแรกนั้น ปรากฏชัดว่าพิธาถือหุ้น ITV แน่นอน แต่ในข้อสองท่านวินิจฉัยว่า ITV ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อแล้ว ไม่มีรายได้จากการทำสื่อแต่อย่างใด ดังนั้นการถือหุ้น ITV ของพิธาจึงไม่ใช่การถือหุ้นสื่อ เมื่อเป็นเช่นนี้พิธาจึงไม่มีความผิดตามที่มีผู้ร้อง เชื่อว่าสลิ่มหลายคนยอมรับได้เมื่อตุลาการท่านวินิจฉัยว่าพิธาถือหุ้น ITV จริง แม้ว่าพิธาจะต่อสู้ว่าเขาเป็นเพียงผู้จัดการหุ้นที่เป็นมรดก แต่เมื่อท่านวินิจฉัยว่า ITV ไม่มีสถานะเป็นสื่อแล้ว การถือหุ้น ITV ของพิธาจึงไม่ทำให้พิธาเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครเป็น สส. ด้วยเหตุนี้ พิธาจึงไม่มีความผิดตามคำร้อง ถ้าหากอ่านรายละเอียดของการวินิจฉัย สลิ่มที่ผิดหวังน่าจะคลายความผิดหวังได้ นอกจากจะใช้ความเข้าใจรายละเอียดของการวินิจฉัยแล้ว สลิ่มหลายคนก็พยายามปลอบใจตนเองว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ที่หมายความว่าให้คอยฟังคำตัดสินเรื่องที่พรรคก้าวไกลใช้การยกเลิกมาตรา 112 ในการหาเสียง ถ้าหากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการหาเสียงดังกล่าวเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การอาจจะมีการยุบพรรคก้าวไกล

มาถึงตรงนี้ ก็อยากจะบอกกับสลิ่มทั้งหลายว่าในช่วงบ่ายจนจรดค่ำของวันที่ 24 มกราคม 2567 ถ้าหากจะรู้สึกผิดหวังก็ไม่แปลก แต่อย่าท้อกับการเดินหน้าของประเทศ ถ้าหากเรามีความหวั่นไหวและไม่สบายใจว่าหากพรรคก้าวไกลเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ประเทศไทยอาจจะมีปัญหาหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ความเสื่อมของขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต จุดยืนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจจะสูญเสียความเป็นกลางในลักษณะ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” ไปจนถึงการแบ่งแยกดินแดนตามคำเรียกร้องของประชาชนส่วนหนึ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อยากจะบอกกับสลิ่มหรือชาวอนุรักษ์ทั้งหลายว่า แทนที่จะเป็นกังวล ไม่สบายใจ ไปจนถึงท้อใจ มาช่วยกันคิดอ่านวิธีการที่จะป้องกันสิ่งที่เรากลัวไม่ให้เกิดขึ้น มาช่วยกันคิดว่าเราจะให้ข้อมูลอะไรกับเยาวชนที่มีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากัตริย์ให้เข้าใจความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ถูกต้อง จะให้ข้อมูลอะไรให้เยาวชนของเรายินดีที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศ ภูมิใจในรากเหง้าของความเป็นไทย จะให้ข้อมูลอะไรให้เยาวชนของเราเข้าใจขอบเขตของการใช้สิทธิเสรีภาพ ด้วยการเคารพกฎหมาย ระเบียบและกติกาของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย

ทุกวันนี้สลิ่มจำนวนมากนิ่งเฉยต่อการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่เยาวชน หลายคนทำตัวเป็นพลังเงียบ ไม่มีการพูดการแสดงออกที่ช่วยให้เยาวชนมีทัศนคติและพฤติกรรมที่เหมาะสมกับการเป็นประชากรที่ดีของประเทศไทย บางคนก็ไม่อยากพูดอะไร เพราะกลัวด้อมส้มจะด่าทอต่อว่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หยาบช้า ต่ำตม แบบที่เรียกขานกันว่าโดนทัวร์ลง บางคนเห็นความสำเร็จของการทำสงครามข่าวของพรรคก้าวไกล ก็เกิดความท้อ ไม่อยากที่จะทำอะไรที่เป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้องอีกแล้ว ยิ่งมารู้คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงบ่ายของวันพุธที่ 24 มกราคม 2567 ก็ยิ่งทำให้หลายคนรู้สึกท้อ ไม่อยากสู้ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว พร้อมที่จะปล่อยให้ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลต้องการ บางคนบอกว่าจากการติดตามข่าว จากการดูคะแนนของการหยั่งเสียงความนิยมที่ในด้านตัวบุคคล พิธายังเป็นอันดับหนึ่ง และพรรคก้าวไกลก็ยังเป็นอันดับหนึ่ง หลายคนพูดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยกประเทศให้ก้าวไกลไปเลยก็แล้วกัน อย่าเพิ่งท้อสิคะ ถ้าหากไม่อยากให้สิ่งที่กลัวเกิดขึ้นจริง ก็อย่าเป็นพลังเงียบสิคะ ต้องเรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่ควรทำเพื่อไม่ให้สิ่งที่กลัวเป็นจริง ช่วยกันนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง

ปรับฮวงจุ้ยหรือ?

ไม่รู้จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยหรือกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวไฟจะชอร์ตกันแน่ เพราะตั้งแต่ ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่

หรือจะรอให้ประเทศไทยเป็นรัฐล้มเหลว

สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ

อนุสติจากไดโนเสาร์ตัวสุดท้าย!!!

อย่างที่ว่าไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละว่า...โดยความเป็นไปของ กฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า กฎวิทยาศาสตร์ ไปจนถึง กฎของพระผู้เป็นเจ้า