หลงใหลอะไรกันนักหนา

ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ผลการเลือกตั้งหักปากกาเซียน พรรคก้าวไกลที่หลายคนบอกว่าเคยได้ สส. 80 กว่าคนเมื่อตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ เป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และมีการคิดจำนวน สส.พึงมีแบบสัดส่วน เซียนการเมืองทั้งหลายวิเคราะห์ว่าเป็นส้มหล่น เพราะพวกเขาได้ สส.เขตเพียง 31 คนเท่านั้น ที่เหลือได้มาจากบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้เพราะคะแนนจากการเลือกตั้งที่เขาได้ทั้งหมดนั้นเป็นที่ 3 รองจากพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากพรรคอนาคตใหม่มักจะได้คะแนนมาเป็นที่ 2 หรือที่ 3 ในเขตที่พรรคของเขาไม่ชนะเป็นที่ 1 คะแนนจากผู้เลือกตั้งทั้งหมดที่เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Popular Vote จึงเป็นคะแนนที่สูง นอกจากนั้นแล้วเซียนการเมืองหลายคนก็วิเคราะห์ว่าพวกเขาได้คะแนนจากพรรคที่ถูกยุบไปก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง พวกเขาเชื่อว่าคนที่ตั้งใจจะเลือกพรรคที่ถูกยุบไปจะเทคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ จนทำให้อนาคตใหม่ได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำ จนทำให้ได้คะแนน Popular Vote มาเป็นที่ 3 เซียนทั้งหลายสรุปว่าเป็นเรื่องของโชคดีแบบส้มหล่น

เมื่อสภาแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนจากบัตร 2 ใบมาเป็นบัตรใบเดียว ไม่มีเรื่องของจำนวน สส.พึงมี ที่เซียนการเมืองทั้งหลายวิเคราะห์ว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคก้าวไกลนั้น น่าจะเป็นพรรคขนาดเล็ก จะไม่ได้จำนวน สส.เป็นกอบเป็นกำเหมือนการเลือกตั้งในปี 2562 ที่ใช้บัตร 2 ใบ คะแนนทุกคะแนนไม่ตกน้ำ เพราะถูกนำมาคำนวณจำนวน สส.พึงมี แต่ผลของการเลือกตั้งที่ปรากฏขึ้นตั้งแต่หัวค่ำของคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้คะแนนนำ ได้จำนวน สส.สูงถึง 151 คน ชนะทั้ง สส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อหลายจังหวัด กลายเป็นจังหวัด “ส้มทั้งจังหวัด” แม้แต่กรุงเทพมหานครที่ประชากรเป็นคนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูงกว่าจังหวัดอื่นๆ พรรคก้าวไกลก็กวาดไปเกือบทั้งจังหวัด แพ้พรรคเพื่อไทยเพียงเขตเดียวเท่านั้น การวิเคราะห์ก่อนการเลือกตั้งของเซียนการเมืองทั้งหลายกลายเป็นการ “วิแคะ” ไม่ใช่ “วิเคราะห์” แม้จะมีการหยั่งคะแนนก่อนการเลือกตั้งว่าพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนนำ เซียนการเมืองก็ไม่เชื่อผลของการหยั่งเสียง

เมื่อพรรคก้าวไกลชนะ เซียนการเมืองทั้งหลายก็พากันวิเคราะห์ว่าพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแบบเกือบถล่มทลายนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ผลของการวิเคราะห์ก็ออกมาดังนี้ ประการแรก มีคนจำนวนหนึ่งหลงใหลคุณพิธาเพราะหน้าตา เพราะภูมิหลังด้านการศึกษา ความสามารถในการพูดจาหาเสียง จนบางคนบอกว่าคุณพิธาคือ “หลัว” แห่งชาติ ประการที่ 2 คนจำนวนหนึ่งเชื่อวาทกรรมว่า 9 ปีของลุงตู่ไม่มีผลงาน พวกเขาเบื่อ และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามวาทกรรมการหาเสียงของพรรคก้าวไกลที่บอกว่า “เลือกก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” ประการที่ 3 เยาวชนที่ต้องการเสรีภาพ ต้องการปลดแอกจากกฎระเบียบต่างๆ ต้องการเสรีภาพในการกระทำและการแสดงออกทั้งหลาย พอใจที่พรรคก้าวไกลจะมาช่วยพวกเขาปลดแอก (กลุ่มนี้อาจจะเชื่อเรื่องการปฏิรูปหรือการยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเชื่อวาทกรรมต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์รวมอยู่ด้วย) ประการที่ 4 มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่พอใจนโยบายประชานิยมของพรรคก้าวไกล ทั้งเบี้ยผู้สูงวัย เบี้ยคนพิการ เบี้ยคนติดเตียง เบี้ยเลี้ยงลูก ค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนปริญญาตรี ตลอดจนสิ่งที่จะได้ “ฟรี” อีกหลายอย่าง ซึ่งต่อมาก็พบว่าหลายอย่างนั้น หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลขึ้นมาจริงๆ ก็ทำไม่ได้

สิ่งที่พรรคก้าวไกลไม่ยอมลดเพดานเลยก็คือเรื่องการแก้ไขหรือการยกเลิกมาตรา 112 จนเป็นเหตุให้พิธาหัวหน้าพรรคก้าวไกลในเวลานั้นไม่ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจาก สส.และ สว.เพียงพอที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นเรียกคะแนนสงสารจาก FC ที่เรียกขานกันว่าด้อมส้มเป็นจำนวนไม่น้อย พิธากลายเป็น “นายกว่าว” หมายความว่าผิดหวังจากการได้เป็นนายกรัฐมนตรี” หลังจากนั้นพิธาก็ยังคงเรียกตัวเองว่าเป็น Candidate นายกรัฐมนตรี และเดินสายปรากฏตัวในงานต่างๆ รวมทั้งการขึ้นรถแห่ไปปราศรัยพบปะผู้คนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อรักษาพื้นที่ข่าว และยังคงได้รับการต้อนรับจาก FC ด้อมส้มทั้งหลายเป็นอย่างดี

ในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน มีข่าวที่เป็นเรื่องราวการทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมของ สส.ที่สังกัดพรรคก้าวไกลหลายเรื่อง มีคนรวบรวมคดีต่างๆ ของ สส.และสมาชิกพรรคก้าวไกลได้เกือบ 100 คดี และมีจำนวนคนที่ต้องคดีหลายสิบคน บางคนมีคดีมากกว่า 10 คดี ทั้งนี้มีบางคนที่ต้องคดีมาตรา 112 นอกจากจะมีคดีการทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมแล้ว ที่ผ่านมาคนของพรรคนี้หลายคนพูดเรื่องไม่จริงหลายเรื่อง ปล่อยข่าวที่เรียกว่า Fake news หลายเรื่อง จนมีการ์ตูนล้อเลียนเป็นภาพของคนจมูกยาวแบบตัวละครที่ชื่อ Pinocchio ที่จมูกจะยาวขึ้นทุกครั้งที่โกหก และยังมีแกนนำของพรรคคนหนึ่งที่สื่อมวลชนและชาว Social ขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อ Fake news สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ด้อมส้มคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้น่าจะทำให้คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลลดลง แต่เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อมีการสำรวจหยั่งคะแนนนิยม ปรากฏว่าในแง่ตัวบุคคล พิธา อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลยังได้คะแนนนำโด่ง และในแง่พรรคก็ปรากฏว่าพรรคก้าวไกลยังคงมีคะแนนนิยมนำโด่งอีกเช่นกัน ข่าวฉาว การโกหก การปล่อย Fake news การไม่ลดเพดานเรื่องมาตรา 112 การที่ สส.และสมาชิกพรรคโดนคดีต่างๆ ไม่ได้ทำให้ความนิยมพิธาและพรรคก้าวไกลลดลงแม้แต่น้อย

ล่าสุดมีการทำเสื้อยืดที่มีข้อความว่า “ผัวสำรอง” และให้พิธาใส่เป็นผู้นำเสนอเสื้อตัวนี้ ดูแล้วมันน่าอดสูจริงๆ นี่มันจะเป็นค่านิยมใหม่ของด้อมส้มสาวแท้และสาวเทียมที่จะมีผัวสำรองกันแล้วหรือ ด้อมเหล่านี้เขาจะรู้สึกดีใจที่จะมีผัวสำรอง พอจะมีบางคนบ้างไหมที่รู้สึกว่าการทำเสื้อที่มีข้อความแบบนี้ และให้พิธานำเสนอเช่นนี้เป็นการดูถูกผู้หญิง ถ้าหากเสื้อรุ่นนี้ขายดี และมีด้อมส้มสาวแท้สาวเทียมใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง เราก็คงจะพออนุมานได้ว่าที่พวกเขานิยมหลงใหลได้ปลื้มพรรคก้าวไกลกันมากมายนั้น ไม่น่าจะมาจากอุดมการณ์ทางการเมือง แต่น่าจะมาจากหลงใหลตัวบุคคลอย่างพิธา การลงคะแนนเสียงสำหรับด้อมบางคนไม่น่าจะเป็นการเลือกผู้แทนราษฎร แต่เป็นการเลือก “หลัวแห่งชาติ” เมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าเป็นห่วง เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีการเตรียมตัวบุคคลที่จะเป็น “หลัวแห่งชาติ” คนใหม่มาเป็นตัวตายตัวแทนพิธาแล้ว อาการน่าเป็นห่วงนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง

ปรับฮวงจุ้ยหรือ?

ไม่รู้จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยหรือกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวไฟจะชอร์ตกันแน่ เพราะตั้งแต่ ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่

หรือจะรอให้ประเทศไทยเป็นรัฐล้มเหลว

สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ

อนุสติจากไดโนเสาร์ตัวสุดท้าย!!!

อย่างที่ว่าไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละว่า...โดยความเป็นไปของ กฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า กฎวิทยาศาสตร์ ไปจนถึง กฎของพระผู้เป็นเจ้า