ช่วงวันเสาร์ 13 ม.ค.ที่เพิ่งผ่านมา...ตรงกับ วันเด็ก อันถือเป็นธรรมเนียม-ประเพณีไปแล้วก็ว่าได้ ที่บรรดาผู้หลัก-ผู้ใหญ่ต้องยอมเสียเวลา เสียหัวคิด มานั่งประดิษฐ์ คิดค้น สร้าง คำขวัญวันเด็ก ที่ออกจะดูดี ดูเท่ ดูเก๋ ดูทันสมัย ทันเหตุการณ์ไปด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากเด็กๆ ที่กำลังเติบโตและเจริญวัยทั้งหลาย หันมายึดมั่นคำขวัญดังกล่าวในแต่ละปี โอกาสที่โลกทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่สังคมไทยก็แล้วแต่ น่าจะเป็น โลก...ที่น่าอยู่ ไม่ถึงกับต้องเป็น โลกที่...โชคดีที่ตายก่อน ดังเช่นทุกวันนี้แต่อย่างใด...
แต่ก็อย่างว่า...คำขวัญมันก็แค่คำพูด คำจา ที่ถูกระบายออกมาทางปาก ไม่ได้ต่างไปจากการระบายลมผ่านออกมาทางก้น...นั่นแล!!! จะไปยึดมั่น-ถือมั่นให้เป็นจริง-เป็นจัง เป็นเรื่อง-เป็นราว เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ย่อมขึ้นอยู่กับบรรดาพวกผู้หลัก-ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ว่าจะวางแนว สร้างแนว ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามนั้น ได้หรือไม่? อย่างไร? เพราะอย่างขณะพวกเด็กๆ บาดเจ็บ ล้มตาย กันเป็นหมื่นๆ หรือไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของบรรดาผู้บาดเจ็บ ล้มตาย อันเนื่องมาจากการเข่นฆ่า สังหาร ล้างผลาญ ของกองทัพอิสราเอลต่อผู้คนพลเมืองชาวปาเลสไตน์ กว่า 20,000 เกือบ 30,000 คนเข้าไปแล้ว ชนิดเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติถึงกับต้องป่าวประกาศว่า เป็น สงครามกับพวกเด็กๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่บรรดาผู้หลัก-ผู้ใหญ่แทบจะทั่วทั้งโลก กลับต้องหันมา อมเชาวริน (สากกะเบือ) ไปเป็นรายๆ อันนี้...จะให้พวกเด็กๆ มันไปยึดมั่น-ถือมั่น ต่อคำขวัญ คำพูด คำจา ใดๆ ก็ตาม น่าจะลำบากเอามากๆ...
ด้วยเหตุนี้...โลกทั้งโลก มันเลยออกจะเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่ หรือโลกที่...โชคดีที่ตายก่อน ยิ่งเข้าไปทุกที เป็นโลกที่คล้ายๆ กับที่พระฤาษี กฤษณะ ไทวปายนะ วยาสะ หรือ ไวยสัมปานะ (Vaisapayana) ท่านได้เจาะเวลาหาอนาคต ร่ายเรียง บรรยายให้ยุวกษัตริย์แห่งตระกูลปานฑพ เจ้าชาย ยุธิษฐิระ (Yudhisthira) ได้มีโอกาสรับรู้ รับทราบเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ดังปรากฏอยู่ในมหากาพย์อินตะระเดีย อันเป็นที่รู้จักกันในนาม ภควัทคีตา (Bhagavad Gita) คือเป็นโลกที่...แม้แต่บรรดาปวงกษัตริย์ในโลก จะมีหัวใจที่เต็มไปด้วยบาป ปราศจากความรู้-ความเข้าใจใดๆ แต่กลับคุยโม้-โอ้อวดถึงภูมิปัญญาของตน จะกลายมาเป็นผู้ครองโลกทั้งโลก เป็นผู้ซึ่งพร้อมจะท้าทาย เอาชนะ และมุ่งครอบครองผลประโยชน์ของอีกฝ่ายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะเต็มไปด้วยความโลภ ความอวดดี เย่อหยิ่ง จองหอง ไร้สาระ โดยปราศจากความสามารถและความมุ่งมั่นใดๆ ที่จะปกป้องผู้อื่น แต่กลับพึงพอใจที่เห็นผู้คนตกอยู่ใต้ทัณฑ์ทรมาน พวกเขาพร้อมโจมตีบรรดาคนดีและสัตย์ซื่อ โดยไร้ความเมตตาสงสารใดๆ แม้จะเห็นหมู่ชนทั้งหลายกำลังคร่ำครวญ ร่ำไห้ อยู่ในความทุกข์ ความเศร้าโศก แต่ความปรารถนาเพียงประการเดียวในจิตใจของปวงกษัตริย์เหล่านั้นก็คือ การได้ปล้นชิงเอาความมั่งคั่งมาจากผู้อื่นแต่เพียงเท่านั้น ฯลฯ...
ดังนั้น...ในเมื่อโลกทั้งโลก มันชักจะออกไปในแนวนี้ สิ่งที่จะอุบัติตามมาก็ดูจะเป็นไปตามที่พระฤาษี ไวยสัมปานะ ท่านได้อรรถาธิบายไว้ในลำดับต่อมานั่นแหละว่า...ณ ช่วงเวลานั้น แม้กระทั่งมือขวาก็พร้อมที่จะหลอกลวงมือซ้าย และมือซ้ายก็พร้อมที่จะหลอกลวงมือขวา มนุษย์จะไม่สนใจเรียนรู้สิ่งใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ความจริงจะถูกจำกัด ผู้มีวัย-มีประสบการณ์สูงกว่าจะทรยศเด็กๆ ที่ไร้ความคิด ไร้ประสบการณ์ ขณะที่เด็กๆ ผู้หลงใหลตัวเอง ก็พร้อมเสมอที่จะทรยศต่อผู้อาวุโส จนแม้แต่ผู้ที่ขี้ขลาดจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญ ส่วนผู้กล้าหาญกลับได้รับการดูหมิ่น เหยียดหยาม ไม่ต่างจากผู้ที่ขี้ขลาด มนุษย์จะเลิกไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันอีกต่อไป ความโลภและความโง่จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก ประดุจอาหารจานเดียวเท่าที่เหลืออยู่ บาปจะเพิ่มพูนไปพร้อมๆ กับความต้องการที่จะให้ได้มาซึ่งความร่ำรวย มั่งคั่ง ขณะที่คุณธรรมสูญหายไปแทบจะสิ้นเชิง และยุติเสียซึ่งความเจริญเติบโต งอกงาม อีกต่อไป...
นี่...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองนำเอาสิ่งที่พระฤาษีท่านเจาะเวลาหาอนาคตเอาไว้เมื่อไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันปีที่แล้ว มาเทียบเคียงกับความเป็นไปในโลก หรือแม้แต่กับสังคมไทยในปัจจุบัน ก็น่าจะพอหาข้อสรุป หาคำตอบได้ไม่ยาก ยิ่งเมื่อหวนคิดคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีวัย-มีประสบการณ์สูงจนได้เป็นแกนนำรัฐบาลอย่าง พรรคเผาไทย กับพวกเด็กๆ ที่หลงใหลตัวเองอย่าง พรรคกร้าวกาม ยิ่งเป็นอะไรที่ออกจะเป๊ะ-เป๊ะ-เป๊ะ เป็นอย่างยิ่ง หรือยิ่งทำให้คำพูด คำจา ที่แม้จะออกไปทางคำขวัญใดๆ ก็ตาม ยิ่งเป็นอะไรที่เชื่อไม่ได้ หรือออกไปทาง หลอกแ-ก ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!
เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเหมือน-ไม่เหมือน คล้าย-ไม่คล้าย หรือไม่? อย่างไร? ก็เถอะ แต่รายละเอียดและช่วงจังหวะ-เวลาที่พระฤาษีองค์นี้ ท่านได้อธิบายออกมาเป็นฉากๆ ก็คือช่วงจังหวะ-เวลาที่รู้จักกันในนาม กลียุค นั่นเอง โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสิ้นสุด ยุติ โอกาสที่ กงล้อแห่งกาลเวลา ซึ่งกำลัง หมุนลง จะค่อยๆ หมุนขึ้น กันอีกครั้ง-อีกครา คงต้องรอคอยไปจนกว่า...เมื่อดอกไม้ก่อเกิดขึ้นภายในดอกไม้ ผลไม้เกิดขึ้นภายในผลไม้ หรือเมื่อ มวลมนุษย์ทั้งหลายกลับไปเป็นผู้ร่อนเร่ พเนจรกันอีกครั้ง และต่างคร่ำครวญหวนไห้ อาลัยถึงความพลัดพรากจากกัน จนในท้ายที่สุด...พวกเขาจะหวนกลับไปคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกพราหมณ์เคยสร้างสรรค์และแนะนำเอาไว้ เริ่มเรียนรู้ที่จะประหยัด-อดออม เริ่มเห็นประโยชน์-คุณค่าของคุณธรรม-ศีลธรรม เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวต่างๆ เริ่มหวนกลับคืนสู่วิถีปกติ พราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่ากัลกี (Sri Kalki) ก็จะถือกำเนิดขึ้นมาในเขตคามนิคมอันมีชื่อเรียกว่าชัมบาลา (Shambhala) และจะกลายมาเป็นผู้ฟื้นฟูกฎ ระเบียบต่างๆ กันใหม่ นำเอาสันติภาพกลับคืนมาสู่โลกทั้งโลก โดยไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์ คิดค้น คำขวัญ ใดๆ แต่โดยอาศัยเพียงแค่ พระแสงดาบ ในอุ้งพระหัตถ์ขวาของ พระกัลกี เท่านั้นเอง!!!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง
เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้
แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ
ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว
ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย
คำอวยพรปีใหม่ 2568
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง
ก้าวสู่ปีใหม่ 2568
สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก
ลัคนากุมภ์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568
สรุป-แม้ทุกข์-กังวลจะยังอ้อยอิ่งอยู่ตลอดปีแต่ต้นปีเร่งสร้างฐานชีวิต ครั้นพฤษภาคมไปแล้ว