การทูตไผ่ลู่ลมแบบเวียดนาม: รากที่มั่นคง, กิ่งก้านที่ยืดหยุ่น

นักการทูตหลายชาติจับตาการทูตของเวียดนาม ที่พยายามจะรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างน่าสนใจ

บางคนเรียกขานแนวทางนี้ว่าเป็น “การทูตไผ่ลู่ลม" แบบเวียดนาม ในยุคที่โลกก้าวเข้าสู่การแบ่งขั้วอย่างเห็นได้ชัด

ดูเหมือนจะประคองตนได้ยากกว่าช่วง “สงครามเย็น" ที่น้อยประเทศจะสามารถยืนอยู่ตรงกลางระหว่างค่ายโลกเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์ได้

วันนี้นักวิเคราะห์บอกว่าการทูต "ไม้ไผ่" (bamboo diplomacy) ของเวียดนามมีมิติที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามมีประวัติศาสตร์กับทั้งสองชาติที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน

มีทั้งช่วงทำสงครามและมีทั้งจังหวะที่ต้องอยู่ร่วมกัน เพราะมีผลประโยชน์ที่สอดคล้องต้องกัน

ผู้นำเวียดนามอธิบายว่า การทูตแบบนี้มีคุณสมบัติพิเศษเพราะแก่นแท้ของไผ่เวียดนามมี "รากที่มั่นคง" และ "กิ่งก้านที่ยืดหยุ่น"

เลขาธิการทั่วไปเวียดนาม เหงียน ฟู้ จ่อง ยกย่องความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นการได้รับผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ ในยุทธศาสตร์การทูตแบบ "ไม้ไผ่" ของประเทศ

เป็นยุทธศาสตร์การสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ

ปีที่ผ่านมา เวียดนามต้อนรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน  ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน     

เป็นพิธีต้อนรับอบอุ่นกันคนละแบบ...และห่างกันเพียงสามเดือนเท่านั้น

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ขณะที่ฮานอยพยายามจะคบหาสองยักษ์ใหญ่อย่างเปิดเผยแล้ว เวียดนามก็ได้ยกระดับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น

เป็นหนึ่งในหกหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ที่มีวอชิงตันกับปักกิ่งเป็นแกนของความสัมพันธ์เชิงซ้อนนั้น

สุนทรพจน์ในที่ประชุมทางการทูตแห่งชาติครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่กรุงฮานอย ผู้นำเวียดนามอธิบายว่า ประเพณีการทูตของเวียดนามฝังแน่นอย่างลึกซึ้งด้วยแก่นแท้ของต้นไผ่เวียดนาม ซึ่งมี "รากฐานที่มั่นคง" และ "กิ่งก้านที่ยืดหยุ่น"

เบอร์หนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามบอกว่า การทูตของเวียดนามเป็นการปรับตัวไปตามสถานการณ์

สอดคล้องกับหลักการสำคัญของ "มั่นคงในวัตถุประสงค์ ยืดหยุ่นในยุทธศาสตร์และยุทธวิธี"

ถือได้ว่านี่คือนโยบายหลักของเวียดนาม ที่ปรับเปลี่ยนมาจากแนวทางที่เคยแข็งกร้าวบนพื้นฐานของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์

จะบอกว่าเวียดนามเดินตามแนวทางของจีนทั้งหมดเสียเลยก็ไม่น่าจะใช่

เพราะบริบทของสองประเทศต่างกันมาก

จีน “ยืดหยุ่น” เรื่องการนำเอาเศรษฐกิจการตลาดแนวทุนนิยมมาผสมผสานกับความเป็นสังคมนิยม

โดยเสริมสร้อยว่า “เศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์แบบจีน”

แต่ด้านการเมือง จีนยังยืนหยัดที่จะไม่ยอมประนีประนอมกับโลกตะวันตก ยกเว้นในประเด็นเรื่องการค้าและการลงทุน

แต่ในแง่การเมืองและความมั่นคงแล้ว ปักกิ่งก็ยังปักหลักไม่ยอมยืดหยุ่นตามวอชิงตันแต่อย่างใด

ขณะที่เวียดนามนั้น เนื่องเพราะอำนาจต่อรองไม่ได้สูงเท่าจีน อีกทั้งยังต้องคบหาทั้งสองยักษ์ในเวลาเดียวกัน เพื่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจให้ทันกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ยุทธศาสตร์จึงถูกปรับให้มีความพลิกพลิ้วได้มากกว่า

แนวคิดเรื่อง "การทูตแบบไม้ไผ่" ได้รับการประกาศเป็นแนวทางระดับชาติโดยเหงียน ฟู้ จ่อง ในปี 2016 หลังจากที่เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเป็นครั้งที่สอง

จากนั้นเป็นต้นมา เวียดนามก็ดำเนินแนวทางการทูตนี้อย่างแข็งขันเพื่อบริหารจัดการกับความตึงเครียดทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2021

ถือเป็นจังหวะก้าวที่ระมัดระวัง เพราะต้องเผชิญกับสองยักษ์ที่มีพฤติกรรมท้าทายระเบียบโลกมากขึ้น

ด้านหนึ่งคือข้อกังวลเกี่ยวกับสหรัฐฯ ที่มองปักกิ่งด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรนักจากความเคลื่อนไหวในเชิงรุกหนักขึ้นในทะเลจีนใต้

แต่อีกด้านหนึ่ง ฮานอยก็ต้องการจะขยับเข้าใกล้จีนมากขึ้นในด้านเศรษฐกิจ

เพราะยิ่งโลกตะวันตกผลักดันแนวทางการแบ่งขั้วทั้งที่เรียกว่า decoupling และ de-risking กับจีน  เวียดนามก็ยิ่งมีเหตุผลที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่า การค้าขายและลงทุนกับจีนที่ตั้งอยู่ใกล้กับตนนั้นยังขยายตัวต่อเนื่องไปด้วย

หลังจากการยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา                เวียดนามมุ่งมั่นที่จะพัฒนา "อนาคตร่วมกัน" กับจีนในเดือนธันวาคมหรือผ่านมาเพียงสามเดือน

สิ่งที่ผู้นำเวียดนามต้องการจะส่งสัญญาณถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคือ ตนไม่ได้โอนเอียงไปทางจีนมากเกินไป

ขณะเดียวกัน จีนยืนยันว่าเวียดนามยังคงอยู่ในวงโคจรในนามแห่งมิตรในภูมิภาคแห่งนี้

ตีความได้ไม่ยากว่า จีนก็ไม่ต้องการให้เวียดนามหลุดจากขั้วของตนไปผูกติดกับตะวันตกมากเกินไปเช่นกัน

เพื่อไม่ให้จีนรู้สึกว่าตนกระโจนไปอยู่ค่ายตะวันตกทั้งตัวแล้ว เวียดนามก็ประกาศจุดยืนของการมีส่วนร่วมใน "ประชาคมแห่งอนาคตร่วมกัน" กับจีน

แต่ก็ยังรักษาพื้นที่ทางการทูตเพื่อสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตกอื่นๆ  เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ, การเมือง และความมั่นคง

ในระหว่างการเยือนของสี จิ้นผิง ฮานอยและปักกิ่งได้ลงนามในเอกสารความร่วมมือ 36 ฉบับในด้านต่างๆ เช่น  โครงสร้างพื้นฐาน การค้า และความมั่นคง

เวียดนามไม่ลังเลที่จะจับมือกับจีนในโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพราะเชื่อว่าจะทำให้จีนไว้วางใจมากขึ้น

อีกทั้งยังเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจในวันข้างหน้าได้ด้วย

แต่เวียดนามก็มองสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งสินค้าออกที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้ ขณะที่จีนเป็นตลาดนำเข้าที่ใหญ่ที่สุด ด้วยนโยบายคบหาทุกฝ่ายเช่นนี้ เวียดนามก็กลายเป็นผู้เล่นเชิงกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่มีพลังต่อรองสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นั่นย่อมหมายถึงการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศจำนวนมากเช่นกัน

สมุดปกขาวของเวียดนามปี 2019 ระบุว่า ประเทศกำลังดำเนินนโยบาย "สี่ไม่" ซึ่งหมายถึง

ไม่มีการเป็นพันธมิตรทางทหาร

ไม่เข้าข้างประเทศหนึ่งต่ออีกประเทศหนึ่ง

ไม่มีฐานทัพทหารต่างประเทศ

และไม่ใช้กำลังหรือขู่ว่าจะใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

น่าสังเกตว่าเวียดนามเลือกที่จะละเว้นจากการประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และโหวตไม่เห็นด้วยกับการระงับสมาชิกภาพของรัสเซีย (ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของฮานอยและเป็นพันธมิตรเก่าแก่) จากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

มีคำถามว่า เวียดนามจะสามารถรักษาความเป็นกลางไว้ได้หรือไม่ เมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด ระหว่างมหาอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา

ต้องไม่ลืมว่า สงครามยูเครนได้เปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ เช่น ฟินแลนด์ สวีเดน และเดนมาร์กอย่างฉับพลัน

ฟินแลนด์และสวีเดนสมัครเข้าร่วม NATO เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย ในขณะที่เดนมาร์ก ซึ่งเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง NATO ได้ลงนามข้อตกลงฐานการป้องกันประเทศกับสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว

หากสงครามยูเครนและกาซาทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และจีนกับสหรัฐฯ ต้องยืนอยู่คนละข้างอย่างชัดเจน  เวียดนามอาจจะถูกบังคับให้ต้องเลือกข้างเหมือนที่ฟินแลนด์และสวีเดนทำมาก่อน

ตัวแปรอื่นๆ เช่น หากโดนัลด์ ทรัมป์ โค่นโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ นโยบายของสหรัฐฯ ต่อเวียดนามก็อาจจะปรับเปลี่ยนได้อีก

ผู้นำเวียดนามเพิ่งพูดเมื่อเดือนที่แล้วว่า พลวัตระดับโลกและระดับภูมิภาคจะ "ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้มากขึ้น"

พร้อมเตือนว่า "ในโลกที่มีหลายขั้วและหลายศูนย์กลาง การแข่งขันทางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศใหญ่ๆ  เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา"

และสั่งการให้นักการทูตเวียดนามจับตาดูสถานการณ์อย่างระมัดระวังเพื่อคาดการณ์ที่แม่นยำ และ "มีความเพียรแต่ยืดหยุ่น" ในการทูต

เป็นบททดสอบ “การทูตไผ่ลู่ลมแบบเวียดนามยุคดิจิทัล” อย่างน่าวิเคราะห์ยิ่งทีเดียว!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ