ลมเปลี่ยนทิศที่เวียดนามเมื่อ สี จิ้นผิง มาเยือนครั้งสำคัญ

การเยือนเวียดนามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนัยสำคัญด้านภูมิรัฐศาสตร์และศิลป์การทูต “ถ่วงดุล” มหาอำนาจที่น่าสนใจหลายประการ

เป็นอีกหนึ่งบทสรุปสำหรับประเทศไทยที่จะศึกษาเพื่อนำมาประกอบการวางยุทธศาสตร์เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมโจ ไบเดน    ไปฮานอยได้ไม่กี่เดือน, สี จิ้นผิง ก็บินมาเยือน

ขณะที่ทั้งผู้นำของทั้งสองยักษ์ยังไม่แสดงความสนใจจะมาเยี่ยมเราอย่างเอิกเกริกเหมือนที่ทำกับเวียดนาม

แต่อีกด้านหนึ่ง ฟิลิปปินส์กลับมีปัญหาระหองระแหงกับจีนในทะเลจีนใต้หนักขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ขยับเข้าไปสนิทกับสหรัฐฯ   มากกว่าเดิม

เวียดนามทำอย่างไรจึงทำให้ทั้งสองยักษ์ยอมรับในการทูต “ไผ่ลู่ลม” ได้อย่างไม่มีปัญหา

นี่คือศาสตร์และศิลป์แห่งการทูตระหว่างประเทศที่ไทยควรจะสร้างความเข้าใจเพื่อนำมาปรับใช้กับเราเอง

ถ้อยแถลงของสี จิ้นผิง กับเหงียน ฟู่ จ่อง,     เลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม, เต็มไปด้วยภาษาดอกไม้ที่ต้องการจะตอกย้ำถึง “ความสัมพันธ์พิเศษ” ของทั้งสองประเทศ

ที่สี จิ้นผิง ย้ำว่า “ชาติอื่นในภูมิภาคนี้ไม่มี”

แม้ว่าฮานอยกับปักกิ่งยังมีปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้เหมือนฟิลิปปินส์

แต่เวียดนามและจีนเลือกที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ด้านนี้อย่างระมัดระวัง

เพราะต่างประเมินแล้ว ท้ายที่สุดผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยตัดสินที่สำคัญที่สุด

ประวัติศาสตร์และปัจจัยความขัดแย้งด้านอื่นๆ ต้องกลายเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญรองลงมา

ในคำแถลงระหว่างสี จิ้นผิง เยือนเวียดนามนั้น ทั้งสองผู้นำตกลงที่จะยกระดับความร่วมมือในเรื่องความมั่นคงในการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมที่มี "อนาคตร่วมกัน" 

การเยือนของสีเพียงแค่สองวันจบลงด้วยการลงนามในเอกสารความร่วมมือหลายสิบฉบับ 

อีกทั้งยังบรรลุความเข้าใจในอันที่จะจัดตั้งสายด่วนเพิ่มเติมเพื่อคลี่คลายเหตุฉุกเฉินใดๆ   ในน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่มีการโต้แย้งระหว่างกัน

แถลงการณ์ยาว 16 หน้า ซึ่งเน้นว่าแม้สองประเทศจะมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งยาวนานนับพันปี แต่ก็ให้คำมั่นว่าจะทำงานอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรมกลาโหมและการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง

การแลกเปลี่ยนข่าวกรองถือเป็นก้าวสำคัญระหว่างสองประเทศที่เคยมีความระแวงสงสัยกันและกันในเรื่องความมั่นคง

เป้าหมายส่วนหนึ่งของการทำข้อตกลงเหล่านี้คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติสีต่างๆ” อันหมายถึงการก่อหวอดของกลุ่มต่อต้านระบบการปกครองปัจจุบัน

ที่ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่าแนวโน้มอันไม่พึงปรารถนานี้ได้รับการยุแหย่และส่งเสริมโดยกองกำลังที่ไม่เป็นมิตร 

ความหมายลึกๆ ก็คือการจับมือกันเพื่อสกัดกั้นการลุกฮือของประชาชนที่มีจุดประสงค์เพื่อเขย่าประเทศอดีตคอมมิวนิสต์

แถลงการณ์ร่วม “ประกาศการจัดตั้งประชาคมยุทธศาสตร์จีน-เวียดนามแห่ง 'อนาคตร่วมกัน' เพื่อส่งเสริมการยกระดับความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม” 

ถือได้ว่านี่เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ และการประกาศ “สร้างอนาคตร่วมกัน” เป็นทางเลือก "เชิงกลยุทธ์" ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

นั่นมาจากคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ต่อหน้าสี จิ้นผิง ในการเยือนสมาชิกอาเซียนประเทศแรกอย่างเป็นทางการในระดับทวิภาคีเช่นนั้น

ทั้งบรรยากาศ, น้ำเสียงและภาษากายบ่งบอกถึงความสนิทสนมระดับใหม่ของผู้นำทั้งสองประเทศ

คำว่า “อนาคตร่วมกัน” (shared future) ในภาษาจีนมีความหมายทางด้าน "โชคชะตา" 

ภาษาเวียดนามและคำแปลภาษาอังกฤษไม่ได้มีนัยที่ลุ่มลึกเหมือนในภาษาจีน

แวดวงการทูตบอกว่าสี จิ้นผิง ผลักดันให้มีการยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนามอย่างกระตือรือร้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เวียดนามยกระดับสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน สู่ระดับสูงสุดในการจัดอันดับทางการทูต เช่นเดียวกับของจีน

ภาพใหญ่ที่สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่นี้คือการที่จีนและสหรัฐฯ กำลังแย่งชิงอิทธิพลในภูมิภาคนี้

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในสถานะที่ต้องใช้ยุทธศาสตร์ถ่วงดุลกับสองมหาอำนาจอย่างระมัดระวัง

ข้อตกลงชุดใหญ่ระหว่างสองประเทศถือเป็นความสำเร็จของ "การทูตไผ่ลู่ลม" ของเวียดนาม 

แม้ว่านักวิเคราะห์และนักการทูตบางคนจะยังคงไม่เชื่อสนิทใจนัก

โดยเห็นว่าการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศคอมมิวนิสต์ที่เคยร้างรากันไป และหันกลับมากอดกันอย่างเหนียวแน่นนั้นอาจเป็นลักษณะเชิงสัญลักษณ์มากกว่าความเป็นจริงในทางปฏิบัติ

ที่มองข้ามไม่ได้คือความจริงที่ว่าจีนเห็นเวียดนามเป็นแหล่งการลงทุนและประเทศคู่ค้าที่สำคัญ

เพราะนักลงทุนด้านการผลิตเวียดนามมาปักหลักในจีนมากขึ้นทุกวัน

สำหรับสี จิ้นผิง แล้ว การมาเยือนเวียดนามครั้งนี้ถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งที่ 4 ของเขาในปีนี้ 

หลังจากการเยือนรัสเซีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา

ข้อตกลงที่จะนำไปสู่การลงทุนครั้งใหญ่น่าจะเป็นการสร้างระบบรางเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับโครงการ “One Belt One Road” ของจีน

รวมถึงอีกสามรายการด้านโทรคมนาคมและ "ความร่วมมือด้านข้อมูลดิจิทัล" 

ข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลจะปูทางให้จีนสนับสนุนการสร้างเครือข่าย 5G ในเวียดนาม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเล

เป้าหมายหลักสำหรับการลงทุนอาจนำไปทำโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม สถานีติดตามภาคพื้นดินด้วยดาวเทียม และศูนย์ข้อมูล 

จีนสนใจแหล่ง “แร่หายาก” (rare earths) ของเวียดนามแม้จะไม่มีการระบุรายละเอียดชัดเจนในความร่วมมือด้านนี้ในเอกสารที่ลงนามกัน

แถลงการณ์ร่วม ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะแสวงหาแนวทางในการร่วมมือด้านแร่ธาตุที่สำคัญ

คาดว่าเวียดนามจะมีแหล่งแร่หายากมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากจีน โดยเหมืองที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เครือข่ายทางรถไฟ

จีนเองมีแหล่งแร่ที่สำคัญสำหรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม 

ปักกิ่งยังไม่ได้แสดงความพร้อมที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีของตนในด้านนี้มากนัก

เวียดนามมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการส่งออกแร่หายากแต่ขาดเทคโนโลยีที่จีนอาจจะเสนอให้ หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงได้

ในคำแถลงการณ์ร่วมมีการระลึกถึงการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งเขตที่เน้นด้านการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาสีเขียว

ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ แผนสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนต้องถูกยกเลิกหลังจากเกิดความรุนแรงอันเกิดจากการประท้วงปี 2561 

ตอนนั้น กลุ่มคนเวียดนามที่ออกมาประท้วงอ้างว่าธุรกิจจีนจะเข้ามามีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจของเวียดนามมากเกินไป

แน่นอนว่าการประท้วงครั้งนั้นย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้หากรัฐบาลเวียดนามไม่สนับสนุน

แต่วันนั้นก็คือวันนั้น วันนี้ก็คือวันนี้

และสถานการณ์วันนี้พลิกผันไปโดยสิ้นเชิงแล้ว!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ