เมื่อวานเขียนถึงข้อโต้แย้งระหว่างรัฐบาลกับคนที่เห็นต่างว่าด้วยเรื่อง “กู้มาแจก” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นประเด็นที่ท้ายที่สุดต้องตัดสินว่าเศรษฐกิจของไทยวันนี้อยู่ในขั้น “วิกฤต” หรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับมอบหมายให้พิจารณาเรื่องนี้คงจะต้องทำงานหนักมาก
เพราะนิยามของ “วิกฤต” กับ “เศรษฐกิจโตช้า” เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง
หนึ่งในนักการเงินที่ออกมาแสดงความเห็นคือ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ผมได้อ่านที่ท่านเขียนวิเคราะห์ไว้อย่างละเอียดในสำนักข่าว “อิสรา” ซึ่งเป็นความเห็นที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งท่านเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า
ปัญหาโครงสร้างที่หมักหมมด้านเศรษฐกิจและสังคมของไทยนั้น ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการแจกเงินคนละหนึ่งหมื่นบาทในรูปของ Digital Wallets (DW) ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมมีข้อโต้แย้งดังนี้
1.รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้ให้เหตุผลเดียวกันในการตรา พระราชกำหนด 2 ฉบับใช้เงินรวม 1.5 ล้านล้านบาทในเวลา 3ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนบริโภคมากขึ้น
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเศรษฐกิจไทยมีการตอบสนองด้วยการขยายตัวสูงมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เงิน Digital Wallet มีวงเงินน้อยกว่าเพียง 1 ใน 3 ของที่เคยใช้ จึงย่อมไม่อาจเชื่อได้ว่าจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5 ได้
2.สาเหตุที่กระตุ้นเศรษฐกิจไทยไม่ได้ผล เพราะลักษณะเศรษฐกิจไทยคล้ายกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ คือเป็นเศรษฐกิจเปิด มีสัดส่วนของการนำเข้าสูงมากถึง 68% ใกล้เคียงกับกัมพูชาที่ 80% และมาเลเซียที่ 60% ซึ่งตรงข้ามกับประเทศใหญ่ เข่น สหรัฐอเมริกา จีนและญี่ปุ่น ซึ่งเศรษฐกิจอันดับ 1-2-3 ของโลกเหล่านี้มีสัดส่วนการนำเข้าเพียง 15%สำหรับสหรัฐอเมริกา 17% สำหรับจีนและ 18% สำหรับญี่ปุ่น
ดังนั้น multiplier effect หรือการเกิดการไหลเวียนของเงินหลายๆรอบจึงเกิดได้ชัดในประเทศใหญ๋ แต่สำหรับประเทศไทยหรือกัมพูชาเงินส่วนใหญ่จะรั่วไหลไปต่างประเทศทันทีที่จ่ายออกไปในรอบแรก
นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำของการมีรายได้ ย่อมทำให้เงินบางส่วนที่อัดฉีดไปไม่ได้มีการใช้จ่ายทันที ยิ่งมีความเหลื่อมล้ำมากรายได้หรือเงินก็จะกระจุกตัวในหมู่ผู้มีรายได้มาก
รัฐบาลได้ประกาศว่าเงินนี้จะหมุน 3.3 รอบแต่จากการตรวจสอบผู้ทำวิจัยเรื่องนี้จากข้อมูลประเทศไทย ได้รับคำชี้แจงว่าจะหมุนเพียง 0.8 รอบเท่านั้น
ตามสมการ องคประกอบของรายจ่ายประชาชาติหรือGDP มี4 ปัจจัย
GDP = C(consumption) + G(Government Expenditure) + I(Investment) + E-M(Current Account Balance)
หากรัฐบาลเพิ่ม ตัว C ผลที่ตามมาคือตัว M ที่จะเพิ่มตามมาทำให้ GDP ไม่ได้เพิ่ม แถมยังจะติดลบและอาจมีผลทำให้ค่าเงินอ่อนเพราะเกิดการสูญเสียทุนสำรองระหว่างประเทศ
การที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่า เศรษฐกิจจะหมุน 3.3 รอบจากการใข้จ่ายบริโภค เท่ากับมีข้อสมมุตฐานว่า mpc (marginal propensity to consume) ของไทยมีค่า 0.7 ขณะที่สมการข้างต้นจะเห็นได้ว่า GDP=Y
C =0.7Y consumption function
M = 0.68Y import function
Y = 0.7Y-0.68Y + A A คือ ปัจจัยอื่นๆ
Y = .02Y+A
(1-.02)Y = A
0.98Y =A
^Y =1.02A
สรุป จากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการนำเข้าถึง68% multiplier effect น่าจะมีเพียง 1.02 รอบ ไม่ใช่ 3.3 รอบ
แต่ multiplier อาจจะลดต่ำลงอีก หากการหาแหล่งเงินชดเชยมาจากการลดการให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและเกิด Crowding out effect
3.พฤติกรรมการออมและการบริโภคของคนในแต่ละประเทศแต่ละสังคมก็มีความแตกต่างกัน จะมาอ้างเพื่อลอกเลียนกันง่ายๆมิได้
การนำมาตรการแจกเงินที่ใช้ในบางประเทศเช่นญี่ปุ่นมาเป็นตัวอย่างจึงพึงตระหนักว่า คนญี่ปุ่นจะมีนิสัยรักการออมและระมัดระวังการใช้เงินมากกว่า จนประเทศเข้าสู่ภาวะDeflation แม้รัฐบาลจะมีหนี้สาธารณะมากแต่ก็เป็นการลงทุนของชาวญี่ปุ่น
ขณะที่คนเกาหลีเมื่อได้รับการกระตุ้นให้ใช้จ่ายก็เกิดภาวะวิกฤตบัตรเครดิด ประชาชนมีหนี้สินเกินตัว เป็นต้น
4.การออก พ.ร.บ. กู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทย่อมได้รับการสนับสนุนจากธนาคารต่างๆ ที่มีสภาพคล่องสูงแต่เป็นห่วงเรื่องความเสี่ยงในการให้สินเชื่อแก่ประชาชน และมีความต้องการที่จะถือครองหลักทรัพย์รัฐบาลเช่นพันธบัตรมากกว่าที่จะปล่อยสินเชื่อซึ่งจะมีกรณีไม่อาจชำระหนี้ได้ หรือ NPL (non- performing loans) ธนาคารต่างๆย่อมขานรับการกู้เงินของรัฐบาลเพราะได้รับประโยชน์เฉพาะหน้า
ผลเสียที่เกิดขึ้นในระบบการเงินคือประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กขนาดย่อมจะถูกเมินจากธนาคารในการขอกู้เงิน เพราะให้กู้กับรัฐบาลจำนวน 500,000 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ปลอดความเสี่ยงและได้ดอกเบี้ยสูงเพราะเป็นภาวะที่ดอกเบี้ยโลกปรับตัวขึ้นสูงมาก
มิฉะนั้นผู้กู้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นให้ระบบธนาคาร การลงทุนและการบริโภคของประชาชนและธุรกิจย่อมถูกกระทบและถ่วงไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวตามที่รัฐบาลคาดหวัง ผลกระทบนี้ ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Crowding Out Effects
ดังนั้น เมื่อเทียบตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ประเทศไทยไม่อาจจัดว่าอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องอัดฉีดเงินจำนวนมากด้วยการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน
(พรุ่งนี้: ถ้าไม่กู้มาแจก จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร?)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ