“โลกใบนี้ใหญ่พอสำหรับจีนและสหรัฐฯที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ...”
นี่คือประโยคเด็ดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงต่อหน้าโจ ไบเดน, ผู้นำสหรัฐฯ, ในการประชุมสุดยอดที่ซาน ฟรานซิสโกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งสองฝ่ายออกแถลงการณ์ที่สะท้อนภาพทางบวกมากกว่าด้านลบ
แม้ว่าประเด็นความขัดแย้งหลักเช่นเรื่องไต้หวันและทะเลจีนใต้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถาวรแต่อย่างใด
ในการแลกเปลี่ยนแบบเผชิญหน้ากันครั้งแรกในรอบปี ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พบกันประมาณสี่ชั่วโมงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีหัวข้อที่ตกลงกันได้บางประการ นั่นคือการสร้างกลไกการเจรจาว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านยาเสพติด การแลกเปลี่ยนระหว่างทหารกับทหาร และปัญญาประดิษฐ์
“เราทั้งสองตกลงกันว่าเราสามารถจะหกหูโทรคุยกันได้โดยตรง” ไบเดนบอกนักข่าวหลังการประชุม
นั่นคือการรื้อฟื้นการสื่อสารโดยตรงระหว่างสองผู้นำที่ถูกตัดขาดไปเพราะวอชิงตันกับปักกิ่งเกิดความบาดหมางรุนแรงตั้งแต่ต้นปี
สายด่วน “Hotline” กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
กว่า 15 เดือนที่ความสัมพันธ์ของสองยักษ์ใหญ่อาจจะเรียกได้ว่าตกอยู่ในสภาวะ “แช่แข็ง”
เริ่มด้วยการเยือนไต้หวันของอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เปโลซีที่ทำให้ผู้นำจีนเต้นผาง เพราะเท่ากับเป็นการตบหน้าปักกิ่งฉาดใหญ่
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จีนก็ระงับช่องทางการสื่อสารและแลกเปลี่ยนทั้งหมด
แต่การมาเยือนของสี จิ้นผิงถูกปูทางด้วยการต่อรองระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองฝ่ายคือหวัง อี้และแอนโทนี บลิงกนเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นที่สุด
เช้าตรู่วันนั้น เริ่มต้นด้วยผู้นำทั้งสองขับรถไปทางใต้ประมาณ 45 กิโลเมตรจากซานฟรานซิสโกไปยังไร่ Filoli ซึ่งเป็นบ้านชานเมืองเก่าแก่ที่รายล้อมไปด้วยสวนและพื้นที่ป่าขนาดกว่า 1,500 ไร่
ภาพที่เห็นคือไบเดนยืนรอหน้าประตูขณะที่รถลีมูซีนของสี จิ้นผิง (ยี่ห้อ “หงฉี” หรือ “ธงแดง”)มาถึง
ทั้งสองทักทายกันอย่างยิ้มแย้มก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
ความจริง ไบเดนกับสีรู้จักกันมา 12 ปีแล้วตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเบอร์สองของประเทศ
“สิ่งสำคัญยิ่งที่คุณและผมเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน เป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบผู้นำต่อผู้นำ โดยพยายามป้องกันไม่ให้มีความเข้าใจผิดหรือการสื่อสารที่ผิด เราต้องแน่ใจว่าการแข่งขันจะไม่กลายเป็นความขัดแย้ง” ไบเดนบอกสีในแถลงการณ์เปิดงานการประชุมสุดยอดรอบนี้
สี จิ้นผิงตอบสนองด้วยการบอกว่าการคบหาของจีน-สหรัฐฯ เป็น "ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญที่สุดในโลก"
และเสริมว่า “สำหรับสองประเทศใหญ่ ๆ เช่น จีนและสหรัฐอเมริกา การหันหลังให้กันไม่ใช่ทางเลือก”
ว่าแล้วก็ส่งสัญญาณเตือนไบเดนว่า “ไม่สมควรที่ฝ่ายใดจะต้องการแก้ไขปรับปรุงอีกฝ่ายหนึ่ง
และความขัดแย้งกับการเผชิญหน้าจะมี “ผลลัพธ์ที่ไม่อาจทนทานได้” สำหรับทั้งสองฝ่าย
ว่าแล้ว สีก็ใช้วิธีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า
“โลกใบนี้มีขนาดใหญ่พอสำหรับทั้งสองประเทศที่จะประสบความสำเร็จด้วยกันได้ทั้งคู่”
และตั้งข้อสังเกตว่าในฐานะผู้นำทั้งจีนและสหรัฐฯ "เราต่างก็แบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงเพื่อประชาชนทั้งสอง ต่อโลกและต่อประวัติศาสตร์"
ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องที่จะจัดตั้งการเจรจาระหว่างรัฐบาลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และคณะทำงานเพื่อดำเนินการความร่วมมือต่อต้านยาเสพติด และฟื้นฟูการสื่อสารระดับสูงระหว่างกองทัพของพวกเขา
ในประเด็นเรื่องสารเฟนทานิล ซึ่งเป็นยากลุ่มฝิ่นซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 100 เท่า และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมากในสหรัฐฯ ทั้งสองผู้นำตกลงที่จะดำเนินการเพื่อปราบปรามบริษัทในจีนที่ผลิตสารตั้งต้นทางเคมีที่ใช้ในการผลิต
ไบเดนบอกนักข่าวว่า “ข้อตกลงเรื่องนี้จะช่วยชีวิตผู้คนได้ และผมซาบซึ้งในความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีสีในประเด็นนี้”
ประเด็นใหญ่น่าจะเป็นเรื่องที่สองกองทัพตกลงที่จะรื้อฟื้นการสื่อสารกันโดยตรงหลังจากที่จีนสั่งระงับการติดต่อกันเพื่อประท้วงสหรัฐฯเรื่องยิงบอลลูนตกเหนืออเมริกา
โดยวอชิงตันกล่าวหาว่านั่นคือความพยายามสอดแนมสหรัฐฯ
แต่จีนบอกว่าเป็นแค่บอลลูนสำรวจอากาศที่พลัดหลงเข้าอเมริกาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ว่าด้วยความร่วมมือด้าน AI นั้น ไบเดนบอกว่าการเจรจาอาจดำเนินตามขั้นตอนแบบเดียวกันเรื่องเฟนทานิล
และกลายเป็นกรณีตัวอย่างความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และจีน
“สิ่งเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่จับต้องได้ในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อพิจารณาว่าสิ่งใดมีประโยชน์และสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็นอันตรายและสิ่งใดที่ยอมรับได้” เขากล่าว
โดยรวมแล้ว ไบเดนกล่าวว่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกที่จะต้องเห็นว่าสหรัฐฯ มีส่วนร่วมในการทูตแบบดั้งเดิม โดยเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
ไบเดนบอกว่าได้พูดคุยกับผู้นำจีนว่าด้วยสงครามในยูเครนและฉนวนกาซา ตลอดจนกิจกรรมของจีนในทะเลจีนใต้ แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด
แต่จะคุยเฉพาะเรื่องที่ไม่ร้อนแรงเท่านั้นเห็นจะไม่ได้
เพราะประเด็นขัดแย้งยังมีอยู่หลายมิติ
สี จิ้นผิงตำหนิการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และสั่งห้ามการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ว่าเป็นการ "ลิดรอนสิทธิในการพัฒนา" ของชาวจีน
ผู้นำจีนขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว และสร้าง "สภาพแวดล้อมที่ยุติธรรม ยุติธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ" สำหรับบริษัทจีน
และทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะ "เพิ่มเที่ยวบิน" ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างมีนัยสำคัญในต้นปีหน้า
หากจะถามว่าการพบปะกันระหว่างไบเดนกับสีรอบนี้ถือเป็นการ “พลิกประวัติศาสตร์” ของความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่
แต่ถ้าถามว่าเป็นสัญญาณทางบวกครั้งแรกในหลายปีได้ไหม คำตอบก็ใช่แน่นอน!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ