สงครามทหารพม่ากับกลุ่มต่อต้าน ชายแดนพม่า-จีนชี้จุดเปลี่ยนสำคัญ

การศึกระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังต่อต้านรัฐบาลกลางที่กำลังดำเนินอยู่อย่างร้อนแรงทางเหนือของพม่าติดชายแดนจีนมีความน่าสนใจเพราะอาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสมการแห่งอำนาจในเมียนม่า

บริเวณรัฐฉานทางเหนือนั้นมีความซับซ้อนเรื่องผลประโยชน์มากมายหลายด้าน

ประการแรกเป็นจุดที่ตั้งชายแดนพม่า-จีนซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีธุรกิจ “สีเทา” อยู่เต็มไปทั่ว

แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธโกก้างซึ่งเป็นที่รู้กันมายาวนานว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน

เพราะเป็นชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายจีนมาแต่ดั้งเดิม

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจีนจึงเป็นผู้ลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการ

ไม่ว่าจะเป็นท่อก๊าซความยาว 800 กิโลเมตร เพื่อขนส่งก๊าซและน้ำมันจากรัฐยะไข่ ผ่านมัณฑะเลย์และรัฐฉานตอนเหนือเข้าไปในดินแดนจีน

ที่มีบทบาทสำคัญอีกโครงการหนึ่งคือเขตความร่วมมือเศรษฐกิจชายแดนชายแดนรุ่ยลี่-มูเซ

รวมไปถึงเขตเศรษฐกิจชายแดนชินฉ่วยฮ่อ (Chin Shwe Haw Border Business Zone)

และโครงการสร้างสะพานเพื่อเชื่อมหุบเขาก๊อกเต๊กกับเมืองคุนหลง

เมื่อมีการต่อสู้กันรุนแรงในบริเวณนี้ ทางการจีนก็ย่อมจะเป็นห่วงว่าจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตน

ที่ผ่านมาจีนพยายามจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับกองกำลังโกก้างและว้าด้านหนึ่ง

และอีกด้านหนึ่งก็คบหากับรัฐบาลทหารพม่าของมิน อ่อง หล่ายอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

เรียกว่าแทงม้าทุกตัวเพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตนในบริเวณชายแดนแห่งนี้

ปักกิ่งพอจะอุ่นใจได้บ้างเมื่อ The Brotherhood Alliance ออกแถลงการณ์ร่วมว่าทหารติดอาวุธของกลุ่มตนจะช่วยกันดูแลโครงการต่าง ๆ ของจีนในบริเวณนี้

และจะพยายามไม่ให้นักลงทุนจากจีนต้องได้รับผลกระทบจากการสู้รบในเขตชายแดนพม่า-จีนด้วย

แต่จะเน้นไปที่การปราบปรามอาชญากรรมที่โยงไปถึงการลักพาตัวเรียกค่าไถ่

อันเป็นปรากฏการณ์ที่มีขึ้นบ่อย ๆ ในเขตของโกก้างซึ่งมีผลกระทบต่อนักธุรกิจฟจีนไม่น้อย

ดังนั้น การที่พันธมิตร 3 ฝ่ายประกาศจัดการกับอาชญกรรมด้านนี้จึงคล้ายกับเป็นการช่วยปกป้องธุรกิจจีนอย่างเป็นรูปธรรมด้วย

การรุกอย่างร้อนแรงของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ได้ปิดกั้นถนนสายสำคัญทางยุทธศาสตร์ 2 เส้นที่มุ่งหน้าสู่จีน คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ

มีผลขัดขวางการค้าข้ามพรมแดน และการปฏิเสธภาษีของรัฐบาลทหารและการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

สำนักข่าวชายขอบรายงานว่าการต่อสู้ดำเนินไปทั่วทั้งรัฐฉานทางตอนเหนือเป็นเวลา 2 สัปดาห์

สหประชาชาติรายงานว่าส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นเกือบ 50,000 คน

และก่อให้เกิดความท้าทายทางทหารที่ร้ายแรงที่สุดต่อมิน อ่องหล่ายนับตั้งแต่พวกเขายึดอำนาจในปี 2564

การปิดเส้นทางคมนาคมสำคัญกำลังส่งผลให้ราคาในตลาดสูงขึ้น

และขัดขวางศักยภาพของรัฐบาลทหารในการส่งกำลังเสริมเพื่อรับมือกับการโจมตี

“เราไม่ได้เห็นรถบรรทุกสินค้าใดๆ เลยนับตั้งแต่การสู้รบเริ่มต้นขึ้น” เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ชาวเมืองมิวส์บริเวณชายแดนติดกับจีน กล่าวกับเอเอฟพี

ชาวบ้านรายงานว่าได้ยินเสียงปืนใหญ่และปืนดังมาจากเมืองเป็นประจำ

โดยปกติ ก่อนหน้านี้จะมีรถบรรทุกหลายร้อยคันต่อวันจะผ่านเข้าเมืองเพื่อนำผักและผลไม้เข้าประเทศจีน หรือนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยา และสินค้าอุปโภคบริโภคกลับมา

ในเมืองลาเสี้ยว ซึ่งอยู่ห่างจากถนนประมาณ 160 กิโลเมตร ชาวบ้านเล่าว่าการสู้รบทำให้รู้สึกได้ถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน

ข้าวหนึ่งถุงมีราคา 160,000 จ๊าต (2,660 บาทโดยประมาณ) ก่อนการต่อสู้ขึ้นมาเป็น 190,000 จ๊าด

ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า “ถ้าการสู้รบลากยาวยืดเยื้อไป เราก็จะรอดยาก”

การขนย้ายสินค้าจากเมืองมิวส์ได้หยุดชะงักลงนับตั้งแต่นักรบจากกองทัพอาระกัน (AA), กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมาร์ (MNDAA) และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ Ta'ang (TNLA) เปิดฉากการรุกเมื่อวันที่ 27 ต.ค.

ส่วนชินชเวฮอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอีกแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนติดกับมณฑลยูนนานของจีน ก็ปิดทำการเช่นกัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว MNDAA ได้โพสต์ภาพนักรบของตนชูธงที่ประตูชายแดน ต่อมารัฐบาลทหารยอมรับว่าสูญเสียการควบคุมเมืองไปแล้ว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่าปักกิ่ง "เข้าใจ" ว่าโครงสร้างพื้นฐานของตนไม่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกัน

นับตั้งแต่รัฐประหาร รัฐบาลทหารพม่าได้พยายามปรับทิศทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ให้ห่างจากประเทศตะวันตกที่คว่ำบาตรนายพลและธุรกิจของพวกเขา

และพยายามกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางของพม่าได้ประกาศเปิดตัวบริการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน ที่จะ "เพิ่มการค้าและการลงทุนทวิภาคี" กับจีน

แต่พอถึงตอนนั้น การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนแล้ว ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชายแดนต้องหลบหนีเข้าจีนและปิดกั้นระบบขนส่งท้องถิ่นหนักขึ้นอีก

การปิดพรมแดนที่นานขึ้นจะส่งผลเสียต่อดุลการค้า บัญชีกระแสรายวัน และความพร้อมในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของเมียนมาร์อย่างแน่นอน

รัฐบาลทหารที่ขาดแคลนเงินสดตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังที่จะแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่านำเข้า

นักวิเคราะห์ด้านยุทธศาสตร์มองว่าสิ่งที่มีความเร่งด่วนกว่านั้นคือการสูญเสียการควบคุมถนนที่ทหารใช้ส่งทหาร

สิ่งที่ตามมาก็คือการส่งกำลังทหารไปยังรัฐฉานทางตอนเหนือกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น

กองทัพต้องอาศัยเฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งกำลังเสริมไปยังพื้นที่บริเวณชายแดน

และหากแม้จะสามารถโจมตีทางอากาศเพื่อยึดที่มั่นต่างๆ กลับคืนมาได้ แต่ก็อาจเสี่ยงทำให้จีนเคืองได้เพราะการสู้รบอาจจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญไปด้วย

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทางเหนือของพม่าติดกับจีนจึงอาจจะเป็นดัชนีชี้วัดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน “สงครามกลางเมือง” ของประเทศนั้น

ซึ่งจะมีผลต่อความพยายามของไทยและอาเซียนที่จะช่วยคลายวิกฤตของเพื่อนบ้านทางตะวันตกของเราอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ