เสียงระฆังแห่งสันติ

มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง...ที่จัดอยู่ในประเภท ต้องอ่าน โดยเฉพาะในช่วงระหว่างนี้ ยิ่งต้องเร่งค้น เร่งคว้า เร่งหามาอ่านยิ่งขึ้นไปใหญ่!!! นั่นคือเรื่อง นางาซากิ-เสียงครวญแห่งสันติ (The Bells of Nagasaki) ของ ดร.ทาคาชิ นากาอิ (Takashi Nagai) ที่คุณ ฉัตรนคร องคสิงห์ นักแปลบ้านเรา นำเอาต้นฉบับการแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษโดยบาทหลวงชาวไอริช วิลเลียม จอห์นสตัน นำมาถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอีกทอดหนึ่ง เมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว อันเป็นหนังสือที่ อันตัวข้าพเจ้าเอง อ่านไป-อ่านมา ประมาณเที่ยวที่ 7 เที่ยวที่ 8 ไปแล้วเห็นจะได้...

คือเป็นเรื่องราวคำบอกเล่า หรือ บันทึกความทรงจำ ของหัวหน้าแผนกรังสีวิทยาโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยนางาซากิ ดร.ทาคาชิ นากาอิ ผู้ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ขณะระเบิดนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐ ถูกทิ้ง ถูกหย่อนใส่จังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงครั้ง สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 และได้ถ่ายทอด บรรยาย รายละเอียดต่างๆ ออกมาเป็นฉากๆ หรือระดับนาทีต่อนาทีเอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะขณะที่ระเบิดลูกนี้แผ่พลังอานุภาพแห่งความฉิบหาย วายวอด ออกไปในทั่วทุกด้าน แบบชนิด “กระแทก-บด-อัด-ขยี้...กวาดเรียบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า” ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 30,000 คนตายลงไปในแบบฉับพลัน-ทันที ขณะที่อีกกว่าแสนรายต้องดิ้นรน ทุรนทุกราย ด้วยความเจ็บปวด รวดร้าวทรมาน อย่างสุดแสนสาหัส...

แต่แม้ว่ารายละเอียด คำบรรยาย แต่ละฉาก แต่ละช่วง จะเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง น่าหดหู่ น่าโศกเศร้า น่าเวทนา ฯลฯ ชนิดอาจน้ำตาซึม น้ำตาไหล ระหว่างอ่าน แต่ก็ถูกสอดแทรกด้วยมุมมองอันสุดแสนจะลึกซึ้งแห่งจิตสำนึกและความตระหนักถึง คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ที่ผูกโยง เกี่ยวพัน กับ บางสิ่ง-บางอย่าง ที่อยู่ในด้านตรงกันข้าม สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข ความสงบ เกิดสันติภาพ-สันติธรรม ระหว่างมวลมนุษย์ด้วยกัน ไม่ต่างไปจาก เสียงระฆัง บอกเวลาสวดมนต์ในมหาวิหารแห่งเมืองนางาซากิ ที่แม้หล่นมากองกับพื้นจากระดับความสูง 50 เมตร และถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพัง แต่เมื่อบรรดาชาวญี่ปุ่นที่เหลือรอด ขุดขึ้นมาแขวนเอาไว้ดังเดิม บทสรุปสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ จึงถูกสรุปเอาไว้ด้วยถ้อยคำดังนี้...“เก๊ง...เก๊ง...เก๊ง เสียงอันสดใสแห่งระฆังนั้นราวจะกังวานสื่อถึงสันติภาพและคำอวยพร ระฆังอันมิได้กังวานประกาศเสียงนานหลายเดือนนับแต่วินาทีมหาวิหารวินาศนั้น ผมได้แต่หวังว่า...คงไม่มีวันที่ระฆังเหล่านี้มิอาจประกาศเสียงได้อีก หวังว่า...ระฆังคงส่งเสียงแห่งสันติภาพนี้ไปจนถึงอวสานแห่งพื้นพิภพ ว่าพลโลกทั้งหลาย...อย่าได้ก่อสงครามขึ้นอีกเลย!!!”

นี่...อันนี้นี่แหละ ที่ใครต่อใครคงน่าจะต้องหยิบมาอ่านแล้ว-อ่านอีก อ่านเพื่อให้อะไรต่อมิอะไรมันซึมซ่านเข้าไปในเนื้อหนัง ร่างกายและจิตวิญญาณ แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อยอีกต่อไป โดยเฉพาะประเภท โจ ซึมเซา หรือ โจ วิตถาร ผู้นำอเมริกา สี ทนได้ หรือ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ไปจนถึงผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี ปูติน รวมทั้งผู้นำอิสราเอลอย่างนาย เบนจามิน เนทันยาฮู ที่รัฐมนตรีขวาจัดร่วมคณะ เพิ่งออกมาเสนอให้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่พื้นที่เขตฉนวนกาซา เพื่อให้บรรดานักรบและชาวปาเลสไตน์ ตายโหง-ตายห่า ให้หมดเสี้ยน หมดหนามลงไปให้จนได้ แม้ว่าที่ตายไปแล้วเพราะระเบิดฟอสฟอรัสขาว ระเบิดเจาะทะลวงบังเกอร์ หรือระเบิดอะไรก็ตาม ฯลฯ ปาเข้าไปเป็นหมื่นๆ ราย และกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ ก็คือเด็กและผู้หญิงนั่นแหละเป็นหลัก แต่ก็ยังไม่หนำใจ ไม่สะใจซาดิสต์ มากมายซักเท่าไหร่นัก...

คือแม้ว่าระเบิดนิวเคลียร์ หรือระเบิดปรมาณูนั้น มันจะเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศ ชนิดที่ น้าหงา-คาราวาน ของหมู่เฮาอดไม่ได้ที่ต้องโหยหวน ครวญคราง เป็นบทเพลงประมาณว่า “อะตอมมิคบอมบ์...ทั้งหลาย ตายเสียเถิด!!! ไล่มันกระเจิงเปิงเปิด...ไปให้พ้น!!!” แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งบรรยากาศการแข่งขัน ช่วงชิงอำนาจ ระหว่างพวก โลกขั้วอำนาจเดียว กับ โลกหลายขั้วอำนาจ มันกำลังเข้าด้าย เข้าไคล ยิ่งเข้าไปทุกที การหวนกลับไปทดสอบสมรรถภาพอาวุธนิวเคลียร์ของแต่ละประเทศไม่ว่าอเมริกา จีน รัสเซีย ฯลฯ ก็เริ่มเป็นไปอย่างคึกคัก โครมคราม ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนคล้ายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติของ สงคราม ไปแล้วก็ว่าได้ ถึงส่งผลให้รัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอลเกิดปิ๊งไอเดีย ที่จะขจัดกวาดล้างชาวปาเลสไตน์ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ที่ประเทศตัวเองเคยปกปิดการครอบครองเอาไว้ก่อนหน้านั้น...

ส่วนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...แม้จะอยู่ห่างไกลจาก แนวรบ ต่างๆ อยู่พอสมควร แต่ถ้าหากยัง “บ้า” ยังเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ไม่รู้เรื่อง-รู้ราว แบบพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือพวก IO ที่ชอบโผล่มาเชียร์อเมริกา เชียร์อิสราเอลให้เข่นฆ่า ล้างผลาญฝ่ายตรงกันข้าม แบบ เอามันซ์ซ์ซ์ เข้าว่า ในโลกเสมือนจริงทั้งหลาย ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสอยู่เย็น-เป็นสุขไปได้โดยตลอด เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ด้วย ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้ประเทศไทยเคยเป็น ทางผ่าน ของญี่ปุ่นไปเล่นงานใครต่อใครเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ต้องเจอระเบิดลงมาแล้วหลายต่อหลายลูก แม้ไม่ใช่ระเบิดปรมาณูก็เถอะ ดังนั้น...ก่อนที่คิดจะบ้า ก่อนที่จะปากหลุด ปากไว ก็ควรหาหนังสือเรื่อง นางาซากิ-เสียงครวญแห่งสันติ มาลองอ่านๆ เอาไว้มั่ง เผื่อว่าอานุภาพแห่งสันติ อาจพอได้ซึมซ่านเข้าไปใน สมองหมา-ปัญญาควาย แม้แต่เพียงนิดๆ ก็ยังดี...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

4 กลุ่มชั่วน่ากลัวเป็นนักหนา กลุ่มที่ 5 ยิ่งน่าสยอง

ณ เวลานี้ หลายคนมองประเทศไทยด้วยความห่วงใยว่า ประเทศไทยของเราที่เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก ทั้งการลงทุน การทำมาค้าขาย การเข้ามาพำนักยามชรา และการมาท่องเที่ยว

ลิ้นงู...ที่อยู่ในปากงู!!!

ถึงแม้นจะพะงาบๆ อยู่ห่างๆ...ไม่มีโอกาสได้ลงลึก เจาะลึก ในรายละเอียด ด้วยเหตุเพราะสุขภาพ สังขาร ร่างกาย และอาจด้วยความห่างเหิน ห่างหาย กับใครต่อใครมานานแสนนาน

ตั้ง 'นายพัน' สีกากีเริ่ม

อะไรจะเร็วขนาดนั้น! โผแต่งตั้ง "ตำรวจ" ระดับ "นายพันสีกากี" เริ่มขยับนับหนึ่งกันแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับ "นายพล" ล็อตแรก ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)

ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้

เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ

เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!

เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม