เมื่อกระแสแพ้กระสัน

ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้ สส.มามากถึง 81 คน เป็นที่ 3 รองจากพรรคเพื่อไทยและพลังประชารัฐ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดูรายละเอียดก็จะพบว่า พรรคอนาคตใหม่ได้ สส.เขตเพียง 31 คนเท่านั้น แต่ด้วยกระแสของการเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ประกาศเข้ามาทำงานการเมืองแบบใหม่ ประกอบกับการเดินสายปราศรัยทำกิจกรรมกับนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วยลีลาและวาทกรรมของแกนนำของพรรค พวกเขาสร้างกระแสการเมืองแบบใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่ให้เสรีภาพในการแสดงออก ปลดแอกจากกฎระเบียบประเพณีต่างๆ ที่กดทับสิทธิเสรีภาพที่เยาวชนต้องการ แม้พวกเขาชนะเป็นที่ 1 เพียง 31 เขต แต่พวกเขาเป็นที่ 2 ในหลายๆ เขต ทำให้ได้ สส.บัญชีรายชื่อไปมากถึง 50 เขต ตามกติกาจำนวน สส.พึงมีจากคะแนนทั้งหมดที่ได้ แบบไม่มีคะแนนตกน้ำ

ต่อมา เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบเพราะทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองเรื่องการกู้เงินจากหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่อาจมีตำแหน่งทางการเมืองได้เป็นเวลา 10 ปี สส.ที่ไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรคก็เข้าไปอยู่ในพรรคใหม่ที่ตั้งไว้รออยู่แล้ว คือ “พรรคก้าวไกล” ส่วนกรรมการบริหารพรรคบางคนก็ไปตั้งเป็นกลุ่มการเมืองที่ชื่อว่า “กลุ่มก้าวหน้า” ที่ยังคงเดินสายปราศรัย ปาฐกถา อภิปราย แสดงทัศนะทางการเมืองทั้ง offline และ online ได้พื้นที่ในสื่อมากกว่าพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคก้าวไกลและกลุ่มก้าวหน้าประสบความสำเร็จในการปลูกฝังความคิดว่า “ประเทศไทยต้องเปลี่ยน” โดยสร้างวาทกรรมว่าฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นพวกเผด็จการ เป็นพวกอำนาจนิยม และคนที่ชื่นชมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์คือไดโนเสาร์ที่นิยมเผด็จการ เป็นพวกอำนาจนิยม เป็นไดโนเสาร์ ดังนั้นประเทศไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง กระแสดังกล่าวจุดติด โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยต่ำกว่า 40 ปี

กลุ่มผู้คนที่นิยมพรรคก้าวไกล ต่อต้านรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ด้วยการออกมาชุมนุม มีการใช้อาวุธ มีการกระทำที่รุนแรง มีการเผา มีการทุบทำลาย มีการขว้างปา มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ มีการทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เยาวชนที่ออกมาชุมนุมโดนคดีเพราะทำผิดกฎหมายมาตรา 112 พวกเขาก็ใช้วาทกรรม “นิติสงคราม” กล่าวหารัฐบาลว่าใช้กฎหมายกลั่นแกล้งคนที่คิดต่างๆ ทั้งๆ ที่คนที่โดนคดีทั้งหลายนั้นไม่ใช่คนคิดต่าง แต่เป็นคนที่ทำผิดกฎหมาย การที่คนที่ทำผิดกฎหมายเป็นเยาวชนที่อายุยังน้อย ทำให้พวกเขาสร้างกระแส “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก” ได้สำเร็จอีก ทำให้การจุดกระแสไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในกลุ่มเยาวชนประสบความสำเร็จ ท่ามกลางความไม่พอใจของคนไทยที่มีความจงรักภักดี ทำให้หลายคนมองว่าการกระทำที่ผิดกฎหมายของเยาวชนที่มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ น่าจะทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคก้าวไกลน่าจะได้ สส.เป็นจำนวนน้อยมาก และไม่น่าจะได้ สส.บัญชีรายชื่อเป็นจำนวนมากเหมือนปี 2562

แต่ปรากฏว่าการวิเคราะห์ดังกล่าวนั้นผิดคาด เพราะว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั้นสร้างกระแสพิธาฟีเวอร์ได้สำเร็จ ด้วยรูปร่างหน้าตา ประวัติการศึกษา ลีลาการปราศรัยบนเวทีหาเสียง ตลอดจนวาทกรรมในการถกอภิปรายในเวทีต่างๆ ของหัวหน้าพรรคการเมืองที่อายุน้อยที่สุด ทำให้มีคนขานรับกันมาก ด้วยความหวังว่าพิธาจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยคำขวัญในการหาเสียงว่า “เลือกพรรคก้าวไกล ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม” จุดกระแสว่าพิธามา ประชาชนจะได้กลิ่นความเจริญ กล่าวหาคนที่ไม่นิยมพรรคก้าวไกลว่าเป็นคนที่ไม่ชอบความเจริญ ขวางความเจริญ

กระแสความนิยมประชาธิปไตยในรูปแบบของพรรคก้าวไกลกระจายไปทั่วสถานศึกษา ทั้งระดับมัธยมและอุดมศึกษา ไม่ว่ากิจกรรมที่พรรคสนับสนุนนิสิตนักศึกษาและนักเรียนให้ทำนั้นจะดีเลวอย่างไร ก็สามารถทำได้ ผู้บริหารสถานศึกษาไม่กล้าขัดขวาง ไม่กล้าระงับ เพราะกระแสประชาธิปไตย ผู้บริหารกลัวถูกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นข้ารับใช้เผด็จการ จึงทำให้กิจกรรมการสร้างกระแสความนิยมพรรคก้าวไกล และความต้องการให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงกระหึ่มในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลคงรู้ดีว่าลำพังคะแนนจาก Gen Y และ Gen Z คงไม่พอให้พรรคสามารถกำชัยชนะในการเลือกตั้งได้ ต้องได้คะแนนเสียงจากกลุ่มอื่นมาช่วย จึงประกาศนโยบายประชานิยมที่จะได้คะแนนเพิ่มสำหรับกลุ่มเป้าหมายอีกหลายกลุ่ม ทั้งผู้สูงวัย คนพิการ คนนอนติดเตียง คนมีลูกอายุไม่เกิด 6 ปี แรงงานที่ต้องการค่าแรงเพิ่ม คนจบปริญญาตรีที่ต้องการเงินเดือนเพิ่ม เด็กหนุ่มที่ไม่ต้องการเกณฑ์ทหาร ทั้งหมดนี้เมื่อประกาศเป็นนโยบายหาเสียง ทำให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเพิ่มจากกลุ่มเป้าหมายที่ขยายไปมากกว่ากลุ่มหนุ่มสาวที่ต้องการเสรีภาพ ต้องการความทัดเทียม ต้องการปลดแอกกฎกติกา มารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นอุปสรรคของการแสดงออกตามที่พวกเขาต้องการ ทั้งหมดนี้คือกระแสที่แม้แต่กระสุนยังพ่ายแพ้ คืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราจึงเห็นแผนที่ประเทศไทยส้มเกือบทั้งแผ่นดิน

อนิจจา ชัยชนะด้วย “กระแส” ของพรรคก้าวไกล กลับก้าวสู่ความล่มสลายเพราะความ “กระสัน” ของ สส.บางคน การคุกคามทางเพศที่ปรากฏขึ้นเป็นความจริงเชิงประจักษ์ ทำให้พรรคก้าวไกลเสียรังวัดไปมาก กว่าจะมีการดำเนินการบางอย่างก็ล่าช้า ต้องให้สังคมเรียกร้องและกดดัน การตัดสินที่ออกมาในครั้งแรกก็ทำให้สังคมมองว่าพรรคก้าวไกลไม่มีมาตรฐาน การกระทำกับนโยบายไม่มีความสอดประสานกัน เรียกได้ว่าเป็นพรรคที่ไม่ตรงปก ทำให้คนที่นิยมพรรคก้าวไกลมาก่อนเกิดอาการตาสว่าง ความสว่างของดวงตาเริ่มตั้งแต่เมื่อเห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่องการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 ตั๋วปารีส มาจนถึงการคุกคามทางเพศที่เกิดจากความ “กระสัน” มากลบ “กระแส” และเมื่อไม่มีพิธาเป็นหัวขบวนของ “กระแส” เรื่องราวของความ “กระสัน” ก็สามารถทำลายความนิยมของพรรคก้าวไกลได้ง่ายขึ้น

เวลานี้ เราก็เห็นแล้วว่าคนที่ถูกขับออกจากพรรคนั้นเขาไม่ได้ยอมรับผิด และมีท่าทีว่าจะเอาคืน การออกมาแฉเรื่องทุจริต การออกมาพูดว่ายังมีคนอื่นที่มีการกระทำแบบเดียวกับคนที่ถูกขับออกยังมีอยู่ การตัดสินในรอบแรกที่ขับคนหนึ่ง คาดโทษ โดยไม่ขับอีกคนหนึ่ง ทำให้หลายคนมองว่าพรรคก้าวไกลไร้มาตรฐาน ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากหมดศรัทธากับพรรคก้าวไกล หลุดออกจากกลุ่มคนที่ทำตามกระแส ดังนั้นที่พูดกันว่าเลือกตั้งคราวหน้าพรรคก้าวไกลจะ Landslide ได้ สส.มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียวคงไม่ใช่แล้ว พระสยามเทวาธิราชคงมีจริง จึงทำให้พรรคก้าวไกลมี สส. “กระสัน” มากลบ “กระแส” ความนิยม และพรรคไม่มีเอกภาพแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้พรรคก้าวไกลคงจะไม่ Landslide อย่างที่หลายฝ่ายคาดคะเนกัน มีหลายเรื่อง หลายประเด็นที่ทำให้ 14 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกลในปี 2566 จะต้องคิดใหม่

คนที่เลือกก้าวไกล 14 ล้านเสียงมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 เพราะพวกเขายังคงเป็นพสกนิกรที่จงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์

คนที่เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียงคงมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการให้มีการแยกดินแดน หรือมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอย่างอื่น และคงไม่เห็นด้วยกับการยุบ กอ.รมน.

คนที่เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียงเพราะหวังผลประโยชน์จากประชานิยมที่พรรคก้าวไกลใช้ในการหาเสียง ตอนนี้รู้แล้วว่าจะไม่ได้ตามที่หาเสียง

คนที่เลือกพรรคก้าวไกลเห็นพฤติกรรมของ สส.ในพรรคบางคน ทั้งเรื่อง “กระสัน” และเรื่อง “ทุจริต” ที่กำลังสอบสวนอยู่ ก็น่าจะขอออกจากคนที่ไหลตาม “กระแส”

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พรรคก้าวไกลต้องทำงานหนักในการจะกอบกู้ภาพลักษณ์ จะมีใครมาเป็นหัวขบวนในการจุดกระแสได้อย่างพิธา ถ้าหากหาไม่ได้ เพราะไม่มีใครแล้ว ก็ถึงเวลา “กระแสแพ้กระสัน เป็นแน่แท้”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

4 กลุ่มชั่วน่ากลัวเป็นนักหนา กลุ่มที่ 5 ยิ่งน่าสยอง

ณ เวลานี้ หลายคนมองประเทศไทยด้วยความห่วงใยว่า ประเทศไทยของเราที่เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก ทั้งการลงทุน การทำมาค้าขาย การเข้ามาพำนักยามชรา และการมาท่องเที่ยว

ลิ้นงู...ที่อยู่ในปากงู!!!

ถึงแม้นจะพะงาบๆ อยู่ห่างๆ...ไม่มีโอกาสได้ลงลึก เจาะลึก ในรายละเอียด ด้วยเหตุเพราะสุขภาพ สังขาร ร่างกาย และอาจด้วยความห่างเหิน ห่างหาย กับใครต่อใครมานานแสนนาน

ตั้ง 'นายพัน' สีกากีเริ่ม

อะไรจะเร็วขนาดนั้น! โผแต่งตั้ง "ตำรวจ" ระดับ "นายพันสีกากี" เริ่มขยับนับหนึ่งกันแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับ "นายพล" ล็อตแรก ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)

มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ

ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้

เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ