วันนี้ ปวดคอ ปวดไหล่ ปั่นป่วนลงไปถึงในท้อง ก็ไม่อยากตายคาจอเหมือนพระเอกในหนัง
เลยบอก “หัวหน้าข่าว” ประจำวัน ว่า
วันนี้ เข็นแล้วก็ยังเขียนไม่ไหว ขอลาวันนะครับเจ้านาย!
ตกค่ำมาเปิดคอมฯ ดูข่าวคราวจากเฟซ
อพิโถ…
ยังมีท่านผู้เจริญแล้วทั้งหลาย สส.บ้าง สื่อบ้าง ดาราบ้าง หยิบเรื่องนายกฯ แนะนำชาวบ้านลดรายจ่ายครอบครัวด้วยการเลี้ยงไก่มาเบิล
ทำนองว่า “นายกฯ คิดเสร่อๆ ได้แค่นั้น”!
เพจ “เยาวชนปลดแอก” โพสต์ว่า….
“ลูกเจี๊ยบตัวละ ๕ บาท ๒ ตัว ๑๐ บาท อาหารไก่กระสอบละ ๕๐๐-๖๐๐
กว่าไก่จะโตใช้อาหาร ๖ กระสอบ ประมาณ ๓,๖๐๐ บาท กับเวลา ๔-๖ เดือน เพื่อไข่ไก่ ๒-๓ ฟอง
คนขายอาหารสัตว์รวยขึ้น ประชาชนได้อะไร พูดไม่คิด”
“วิโรจน์ ลักษขณาอดิศร” ส.ส.พรรคก้าวไกล
“นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีแนวคิดแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาก็มีแนวคิดแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง
เช่น น้ำท่วมก็ให้เลี้ยงปลา รวมถึงที่ให้ทหารปลูกผักชีแก้ปัญหาราคาผักชีแพง
ถ้ามองเป็นเรื่องตลก ก็อาจจะตลก หรือถ้ามองผิวเผินนายกฯ คนนี้อาจไม่มีวิสัยทัศน์
แต่ถ้ามองลงไปลึกๆมันคือ จิตใต้สำนึกของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้คนไทยยอมจำนนกับความแร้นแค้นลำบาก และจมปลักจำนนอยู่กับโชคชะตา
อยู่กับความคิดโดยที่ไม่มีโอกาสได้หวังในการประกอบอาชีพที่มีความก้าวหน้าไปกว่านี้”
โฟกัส จิระกุล
นักแสดงสาว แม่ค้าออนไลน์และยูทูบเบอร์
“ไปสอนให้ลูกเลี้ยงไก่ดูสิ ถ้าลูกเลี้ยงได้ค่อยมาสอนคนอื่น
ไก่สองตัวววววววววววว เอาหงอนตีหน้า”!!
อ่านแล้วก็เวทนา
อดยักแย่-ยักยันมาคุยตามประสาคนคันไม่ได้
ฉะนั้น เอาซะหน่อย ถือว่าคุยกันเหมือนหูคั่นสมอง อย่าเพ่งเล็งเป็นสาระอะไรไป
“พระพุทธเจ้า” ทรงแสดงถึงความเป็น “มงคลสูงสุด” ของชีวิตคนไว้ ๓๘ ประการ หนึ่งใน ๓๘ มีว่า
“อะเสวะนา จะ พาลานัง”
การไม่คบ ไม่คุย ไม่ส้องเสพเสวนา ไม่เจรจาความ ไม่ต่อล้อ-ต่อเถียงกับคนพาล เป็นมงคลสูงสุดของชีวิต
คอลัมน์ “ธรรมส่องโลก” ในกรุงเทพธุรกิจ เขาบอกถึงลักษณะคนพาลไว้อย่างนี้
“ลักษณะคนพาล คือ คนโง่เขลาเบาปัญญา ผู้ที่อยู่เพียงหายใจทิ้งไปวันๆ ไร้สารประโยชน์ ขาดสติปัญญา
คิด-ก็คิดไม่ดี พูด-ก็พูดไม่ดี จะคำนึงถึงแต่ประโยชน์แห่งตนและหมู่คณะเป็นสำคัญ
แม้ประโยชน์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด เป็นบาป อกุศล ก็จักกระทำ”
อีกประการหนึ่งของคนพาล คือ….
“ชอบจับผิด เพ่งโทษ คิดแต่จะตำหนิติเตียนผู้อื่นที่ไม่ต้องใจตนอยู่ร่ำไป อย่างไม่คำนึงถึงคุณธรรมความดีใดๆ
แม้จะมีบัณฑิตผู้รู้ห้ามปราม เพื่อไม่ให้เป็นโทษภัย ก็จักไม่เชื่อฟัง
คนพาลจึงแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นบุคคลที่กระทำบาปกรรมหรืออกุศลธรรมเป็นอาจิณ”
ฉะนั้น เมื่อรู้ว่า อะไรโสโครก ……..
เราก็หลีกซะ อย่าไปเกลือกกลั้ว การพูดจาชี้แจงใดๆ รังแต่จะเปล่าประโยชน์ เพราะคนจำพวกนี้ บ่งชัด “มืดมา-ก็มืดไป”
เป็นจำพวก “กิมิชาติ”
ชอนไชอยู่กับมูถ-คูตร ด้วยชื่นชมดอมหอม และยังชีวิตอันแสนสั้น ด้วยมูถ-คูตรนั้น-เท่านั้น เป็น อาหาร!
ฉะนั้น เพื่อความเป็น “มงคลชีวิต”
กับคนพาล “นิ่งเสีย” ไม่พูดเสียเลยจะดีกว่า!
มาดูชัดๆ ว่า ที่นายกฯ ลงไปยะลา-ปัตตานีวันก่อน ในการพูดจากับพี่น้องที่ยะลา ท่านพูดว่าอะไร ก็ดังนี้
“ทำอย่างไรจะลดรายจ่ายได้ ไม่ต้องไปซื้อพืช ซื้อผัก ซื้อไก่ วันนี้ ถ้าทุกครัวเรือนเลี้ยงไก่สัก ๒ ตัว
อย่าเพิ่งฆ่ามันก่อน ให้มันโต ให้มันไข่ก่อน ค่อยๆ ดูแลตัวเองอย่างนี้ ค่าใช้จ่ายจะน้อยลง
ซื้อทุกอย่างเลยไม่ได้ เป็นไปตามที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ท่านทรงรับสั่งไว้เรื่องความพอเพียง”
ก็ชัดเจนตามนั้น…….
อันสุจริตชน คนบัณฑิตทั้งหลาย ฟังแล้วย่อมเข้าใจ ว่าที่นายกฯ พูดนั้น เป็น “หลักกว้างๆ” ในการดำรงวิถีชีวิตว่าด้วยความพอเพียง
เป็นการการลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ครอบครัวอีกทาง นอกเหนือจากงานประจำ หรือทำเป็นอาชีพหลักก็ได้ ด้วยการต่อยอด
การใช้ชีวิตแบบรู้จัก “พอเพียง” ใช้ได้กับทุกคน ทุกฐานะ ทุกอาชีพ แต่การเลี้ยงไก่ลักษณะนั้น เป็นการแนะนำกับชาวบ้าน ผู้ดำรงวิถีแบบบ้านๆ เท่านั้น
จากรูปประโยคที่นายกฯ พูด ไม่ได้หมายถึงให้ท่านผู้เจริญในเมือง ต้องเลี้ยงไก่ในคฤหาสน์ ในบ้านจัดสรร ในคอนโดฯ ในพรรค ในคลับเฮาส์
คนรุ่นใหม่ ขายของออนไลน์ รับจ้างโพสต์ รับจ้างปั่นทวีต-ปั่นแฮชแท็ก รับจ้างชูสามนิ้ว รับจ้างติดคุก
นั่นก็เป็นรายได้เสริมช่วยเหลือครอบครัว รูปแบบเดียวกับคนในแถบถิ่นชนบทเลี้ยงไก่เป็นรายได้เสริม ลดรายจ่ายครอบครัว ก็ทำนองเดียวกันนั่นแหละ!
บ้านตามชนบท นอกจากมีคนบนบ้านแล้ว ใต้ถุนบ้าน-ลานบ้าน จะมี “หมากับไก่” แทบทุกบ้าน
หมา เลี้ยงเป็นเพื่อนเพื่อชีวิต เป็นยามที่ตื่นก่อนโจร
ไก่ เลี้ยงเป็นเพื่อนเพื่อเพลิดเพลิน เติมช่องว่างชีวิตด้วยสีสันและขันเสียง เสริมเติมปากท้องด้วยไข่
จะโหดร้ายหน่อย ตอนหักคอลงหม้อแกง แต่เพื่อนไก่ก็พร้อมภักดีกับคนที่เลี้ยงดูมัน
เราบอกว่า “เลี้ยงไก่ไว้กินไข่” แต่จริงๆ แล้วในวิถีชาวบ้าน คนไม่ได้เลี้ยงโดยตรง ปล่อยมันคุ้ยเขี่ยหากินเอง และไก่นั่นแหละ
ทั้วตัว-ทั้งไข่ “เลี้ยงคนเลี้ยง” ซะมากกว่า!
ตอนเด็กๆ ผมก็เลี้ยง เป็นประเภท “ไก่พื้นบ้าน” แต่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนใต้ถุนบ้านมากกว่าจ้องเอามากิน
หักจอมปลวกตามโคนไม้ โคนเสา มาโยนไว้ซักจอม ทั้งฝูงจิกกินปลวกเป็นหมื่น-เป็นแสนตัว เรียกว่า “โปรตีนเพียบ”
ที่พูดนี่ เลี้ยงแบบเอาไข่มากิน ปล่อยอิสระตามลานบ้าน ไม่ต้องเสียเงินซื้อไข่ไก่กิน ตะพึด-ตะพือ
แต่ถ้าเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม นั่นต้อง “มืออาชีพ” กันหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นซื้ออาหารกระสอบยืนพื้น แบบบ้องตื้นขนาดนั้น
ที่ผมเห็นเขานิยมเลี้ยง มี ๒ พันธุ์
ตัวดำๆ ใหญ่ๆ แต่ไข่ดก แถมลูกใหญ่ และเชื่อง คือไก่พันธุ์ “ออสตราลอป”
ที่นิยมเลี้ยง เขาบอกว่า นอกจากให้ไข่ดกแล้ว เนื้อยังเยอะด้วย
อีกพันธุ์ คือ พันธุ์เล็คฮอร์น ขนสีขาว หงอนแดง สวยดี เลี้ยงปล่อยให้หากินด้วยลำแข็งมันเอง ๕-๖ เดือนก็มีไข่ให้กินแล้ว
ที่ผมว่านี่ หมายถึงที่เห็นเขาเลี้ยงตามลานบ้านกันสมัยเป็นเด็ก ที่นายกฯ แนะนำให้เลี้ยงนั้น เจตนาท่านก็เป็นไปในลักษณะนี้ เป็นเรื่องดี ที่เข้าใจได้
และเป็นอยู่แล้วในสังคมบ้านๆ ปัจจุบัน เมื่อท่านยกขึ้นมาพูด แสดงถึงจิตวิญญานนายกฯคือ “คนบ้านๆ” เหมือนเราๆท่านๆ ที่ผูกพันกับวิถีไทย
ที่ท่านบอกให้เลี้ยง ๒ ตัว …….
ก็แค่หมายถึง ให้เลี้ยงตัวผู้ตัว ตัวเมียตัว เพาะลูก-เพาะหลาน กินยาวนานไปถึงอนาคต
มีแต่ไอ้พวกกะโหลกดินน้ำมันเท่านั้น ปาลงไปเป็นก้อนแบบไหน ก็เป็นก้อนอยู่แบบนั้น พลิกผัน-ดัดแปลงเป็นอื่นไม่เป็น
แต่ขอกระแอมนิดหนึ่ง ๒ ตัว “ตัวผู้กับตัวเมีย” เห็นจะรับไม่ไหวหรอกครับท่านนายกฯ!
ต้องประมาณ ๕ ตัว เป็นตัวผู้ ๑ ตัว และตัวเมียอีกซัก ๔ ตัว จึงจะรับไหว!
ไก่ตัวผู้น่ะ “ทรงพลัง” มากนะครับ ท่านนายกฯ
ตัวเมียตัวเดียว รับไม่ไหวหรอกครับ โทรมตายก่อน!
ต้อง ๑ ต่อ ๓-๔ นั่นแหละ จึงจะรับอยู่ แม่ไก่ไม่โทรม น้ำเชื้อแข็งแรง ไข่จะดกและสมบูรณ์ เก็บไว้ทำพันธุ์ต่อได้ด้วย
พวกที่ออกมาโพสต์เยาะเย้ย ถากถางนายกฯ นั่นน่ะ ถ้าคิดจะเลี้ยงไก่ ผมไม่แนะนำครับ
แนะนำให้เลี้ยงควาย “พันธุ์ ๓ เขา” จะดีกว่า
ผสมพันธุ์เอาลูกออกขายทางออนไลน์ จะสร้างรายได้ “รวยเร็ว” กว่าเยอะเลย
เสียอย่างเดียว “พันธุ์ ๓ เขา” นอกจากโง่เกินควายแล้ว ปล่อยตามลาน ยังดื้อด้าน-เกเร
ต้องเลี้ยงแบบ “ขังกรง” อย่างเดียว!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร่างฯ 'หัวขวด' เพื่อใคร?
"นักการเมือง" คือคนโง่ เพราะทำอะไรก็ยาก มีกฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกคือ พ.ร.บ.ต่างๆ
'Grab rider ต้วง'
ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา
สมรภูมิ ประชาธิปไตย | จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์
สมรภูมิ ประชาธิปไตย จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์ : วันอาทิตย์ที่ 08 ธันวาคม 2567
'ดร.บุญส่ง-นพ.ระวี' ส่องจุดจบ! ระบอบทักษิณ ภาค 2 | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 07 ธันวาคม 2567
'เลิกแล้วค่ะ...หนูเลิกแล้วค่ะ'
ตกลง "ขึ้น-ไม่ขึ้น" VAT จาก ๗% เป็น ๑๕% ตามแนวคิดรัฐบาลเพื่อไทย?
รัฐบาล (ไม่ใช่) บริษัทชิน
"กู้มาแจก-กู้มากิน-กู้มาโกง" ผลก็คือ "รัฐบาลถังแตก"!